ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน แม่ต้อยก็ยังเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลอยู่ดี โรงพยาบาลหลายๆแห่งโดยเฉพาะโรงพยาบาลประจำจังหวัดนั้น เรียกได้ว่าแม่ต้อยมีความคุ้นเคยเป็นพิเศษ เพราะในบางช่วงของการทำงานแม่ต้อยทำหน้าที่การวางแผน การก่อสร้าง การพัฒนาโรงพยาบาลในรูปแบบต่างๆ ถึงขนาดจำได้ว่าตึกผู้ป่วยตึกใดบ้างที่ได้วางแบบแปลนและตั้งงบประมาณมา บางโรงพยาบาลแม่ต้อยไปเยี่ยมมากกว่า ๒๐ หรือ ๓๐ ครั้งเลยทีเดียว
บรรดาคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่ทำงานในโรงพยาบาลปัจจุบันนี้ต่างก็เกษียณอายุกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงแม่ต้อยคนเดียวที่อยู่ยงคงกระพันขนาดนี้ อิอิ
แต่ว่า แม้ว่าจะทำงานมานาน และอยู่ยงคงกระพันขนาดนี้แม่ต้อยเพิ่งจะมีโอกาสเป็น “ ญาติผู้ป่วย” เมื่อเร็วๆนี้เอง
อันนี้ต้องไล่มาตั้งแต่มหาอุทกภัยนั่นแหละ ที่แม่ต้อยต้องหนีน้ำออกมาอยู่ข้างนอกเป็นเวลาเดือนกว่าๆ แม่ของแม่ต้อย ซึ่งมีอายุสิริรวม ๘๘ ปี (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า” คุณยาย”) ก็ร่วมในกระบวนการหนี้น้ำไปด้วย
ที่จริงไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะคุณยายสนุกกับการหนีน้ำมากๆ แม้ว่าเราจะเปลี่ยนจากโรงแรม ไปอยู่คอนโด และก็ต้องย้ายจากคอนโดที่๑ ไปคอนโดที่๒ ก็ตาม
“ เหมือนกับว่าเราไปเที่ยว “ ทันสมัยมากๆคะ คุณยาย
เรื่องราวเกิดเมื่อแม่ต้อยเองจะต้องไปประชุมที่อเมริกาในระหว่างนั้น นับว่าเป็นการหนีน้ำที่โก้เก๋ซะไม่มี
“ หนูจะไม่อยู่ สักห้าวัน คุณยายอยู่ได้ไหม จะให้น้องมาอยู่ด้วย”
“ ได้ ได้ แต่ใครจะมาอยู่ละ” แม่ถามอย่างกังวล เพราะว่าลุกๆแต่ละคนเขาก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ
คำถามนี้ง่ายๆแต่ตอบยากมากเลยทีเดียวอิอิ
สุดท้ายน้องสาวแม่ต้อยก็สรุปแนวทางใหม่โดยการบินมารับคุณยายไปอยู่ด้วยที่จังหวัดอุดรธานี อันคำนวรแล้วว่าน้ำไม่น่าจะท่วมไปถึงแน่ๆ ยังไงๆก็ต้อง”เอาอยู่” แฮ่ๆ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณยายก็ไปใช้ชีวิตที่อุดรธานีเรื่อยมา
เมื่อวันปีใหม่นี้เอง น้องสาวก็โทรมาตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่๓๑ ธันวาคม อันเป็นวันสิ้นปีว่า
“ แม่ไม่ค่อยทานข้าว ซึมๆนะ อยากให้มาดูหน่อย”
อันที่จริงแม่ต้อยมีกำหนดการจะไปเยี่ยมคุณยายในวันที่๑๒ มกราคมแล้ว เมื่อทราบข่าวจึงหาหนทางเดินทางไปจังหวัดอุดรธานีให้ได้ ซึ่งยุ่งยากมากเพราะเป็นวันเทศกาลปีใหม่ รถราติด ตั๋วเครื่องบินไม่มี
คุณยายดีใจเมื่อเห็นหน้าลูกหลาน กินข้าวได้มาก คุยเสียงดัง เมื่อเห็นอาการอย่างนั้น แม่ต้อยจึงชวนน้องและยาย
ไปเที่ยวอำเภอเชียงคาน ที่อยู่ใกล้ๆ เป็นการฉลองปีใหม่ไปในตัว อิอิ
รุ่งเช้า ยายบอกว่า” แม่ไม่ไปดีกว่า ขอนอนพักที่บ้าน ให้ลูกๆไปกันเถอะ เชียงคานไปมาแล้วตั้งสองรอบ แก่งคุดคู้ก็ไปมาแล้ว นั่งรถนานๆเมื่อยตัวเปล่าๆ..”
เมื่อกลับมา ก็มาคุยกับคุณยายต่อ ยายบ่นปวดเมื่อยตามตัว พวกเราก็ช่วยกันนวดเฟ้น น้องชายที่ทำงานเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต บอกว่า พรุ่งนี้ต้องกลับก่อนแล้ว เพราะจะมีประชุมในวันแรกของการทำงาน
แม่ต้อยมารู้สึกผิดสังเกตในตอนเช้า เพราะว่าคุณยายมีอาการหนาวมากขึ้น จับตามเนื้อตัวไม่มีอาการไข้ แม่ต้อยเริ่มกังวล ตอนนี้โทรศัพท์ไถ่ถามไปรอบตัว แต่ในใจคิดว่าต้องมีอาการติดเชื้อที่ใดสักแห่งแน่นอน
วันนั้นเป็นวันหยุด บ้านน้องสาวอยู่อำเภอที่ไกลโรงพยาบาลศูนย์ประมาณ ร้อยกว่ากิโลเมตร
เมื่อลองวัดปรอท แม่ต้อยแทบสิ้นสติเมื่อไข้สูงมาก จึงตัดสินใจนำคุณยายไปที่รพ.อำเภอที่ใกล้บ้านก่อน
ที่โรงพยาบาลอำเภอ คุณยายได้ยาลดไข้ และน้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะ คุณหมอรับรองว่าจะดูอาการให้ได้ ไม่ต้องกังวล ความน่ารักของหมอหนุ่มน้อยทำให้แม่ต้อยรู้สึกอบอุ่นใจ แต่แม่ต้อยแอบเห็นความกังวลฉายอย่างปิดไม่มิด
สัญญาณชีพของคุณยายลดลงเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับที่เรียกว่าSHOCK แม่ต้อยตัดสินใจขอย้ายเข้ารพ.ศูนย์ทันที
ในยามนั้นเวลาเริ่มโพล้เพล้แล้ว ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา เมื่อรถพยาบาล นำคุณยายส่งรพที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างรวดเร็ว
“ ผมไม่กล้าเคลื่อนย้ายในตอนแรกเพราะเกรงว่าจะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินระหว่างทาง เพราะว่าระยะทางค่อนข้างไกล ครับแม่ต้อย” คุณหมอหนุ่มผู้ใจดี แอบบอกแม่ต้อย
“ ตอนนี้ผมเห็นว่าอาการคุณยายอยู่ในระดับที่เคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยได้”
แม่ต้อยต้องขอชมเชยคุณหมอและทีมงานที่ประเมินอาการและแน่ใจว่าไม่มีอุบัติการณ์ระหว่างการส่งต่อ และน้องพยาบาลที่ดูแลระหว่างการส่งต่อผู้ป่วยที่มีศักยภาพในการดูแลคนไข้ที่มีภาวะช้อคได้ดี
แม้ว่าจะอยู่ในภาวะช้อค แต่คุณยายก็พอรู้ตัว คุณพยาบาลมาเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า คุณยายพุดคุยตลอดทาง
คุณยายถูกนำมาเข้าห้อง ICU ในคืนนั้น แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แม่ต้อยและน้องสามคนยังนั่งจับเจ่าที่หน้าห้องคนไข้นั่นเอง
ความทุกข์ ความกังวลของญาติที่มีต่อคนไข้หนึ่งคน นั้นอาจจะต้องคูณด้วยจำนวนญาติ ที่มีอยู่ดังเช่นแม่ต้อยและน้องๆในขณะนี้เอง
น้องชายแม้ว่าจะทำงานเป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยระดับคณบดี ไปประชุมต่างประเทศเป็นว่าเล่น แต่ในยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่นั่งเจ่าจุก แม่ต้อยเห็นเขาเดินไปชะโงกตรงหน้าต่างห้อง ICU แอบดูการทำงานของแพทย์พยาบาล เพียงเพื่อขอให้ได้เห็นว่าแม่อยู่ในสภาพหรืออาการ เช่นใด
“ เขากำลังให้เลือดนะ แม่จะเจ็บไหม?
“ไม่เจ็บหรอก ให้เลือดให้น้ำเกลือ เดี๋ยวแม่ก็ดี “ เราพุดคุยกันปลอบใจกันราวกับเด็กเล็กๆ
เมื่อแม่ต้อยได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมแม่ สิ่งที่แม่ต้อยได้เห็นทำให้แม่ต้อยน้ำตาปริ่มเบ้าตา
คุณยาย หน้าตาอิดโรย ที่แขนเสียบด้วยสายให้เลือด และจมูกมีสายให้ออกซิเจนอยู่ ในมือคุณยายถือมาสปิดจมูกไว้อันหนึ่ง แม่ต้อยก็สงสัยว่าคุณยายเอามาถือไว้ทำไม ได้มาตอนไหน?
เมื่อเห็นแม่ต้อย คุณยายยื่นมาสปิดจมูกให้แม่ต้อย พร้อมกับทำท่าให้แม่ต้อยสวมคาดปิดจมูกไว้
“ ปิดจมูกไว้เสีย เชื้อโรคมาก “ คุณยายสั่งการแม้ว่าในจมูกยังมีสายออกซิเจนอยู่
“ เอามาจากไหน แม่ต้อยก้มลงถามเบาๆ” อดขำในใจไม่ได้
“ แม่เห็นหมอที่มาตรวจเขาใส่กันทุกคน เลยให้เด็กหยิบมาให้อันหนึ่ง “ คงจะเป็นที่ ER แน่ๆ
ด้วยความเข้มแข็งของคุณยาย อาการค่อยๆดีขึ้นจากการติดเชื้อ แม่ต้อยขออนุญาต ลางานตลอดสัปดาห์ เพื่อเฝ้าดูแล รวมทั้งน้องๆทั้งหมด
แม่ต้อยได้มีโอกาส เปลี่ยนผ้าเปื้อนอุจาจาระ ปัสสาวะ อาบน้ำบนเตียง ป้อนข้าว และพัฒนาไปจนถึงการพาคุณยายไปอาบน้ำจากฝักบัวให้ชื่นใจ
ทุกบ่าย เราจะเข็นรถให้คุณยายนั่งเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ชื่นชมกับต้นไม้ที่ปลุกไว้รอบๆโรงพยาบาล ผู้คนที่ผ่านไปมาก็แวะทักทาย
แม่ต้อยเคยสอนเรื่อง healing environment มาแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อมาเจอกับตัวเองจึงอยากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมากๆ
แผนการ รักษาโรค มีความสำคัญมาก และการเยียวยาก็มีความสำคัญมากพอๆกัน คนป่วยทุกๆคนควรมีโอกาสได้สัมผัสกับสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติ และสังคม เช่น สัมผัสความสวยงามของ ต้นไม้ ดอกไม้ ได้เห็นผู้คน และความเป็นไปต่างๆรอบตัว
คุณยายมีเริ่มมีอาการหลงลืมในวันที่ ๘ ของการรักษา บางครั้งจำไม่ได้ว่ากินข้าวแล้ว บางครั้งพุดกับคนบางคนในอดีต บางครั้งสวดมนตร์ หรือคิดว่าตัวเองอยู่ที่บ้าน เรียกหาคนโน้นคนนี้ให้ทั่ว
แม่ต้อยจะชวนคุณยายคุยเหมือนปกติ คุยในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
“ ตอนนี้แม่ป่วย อยู่ที่รพ.นะคะ ไม่ใช่ที่บ้าน เดี๋ยวเราให้น้ำเกลือ เรากินยา แล้วจะหาย”
“ เขาจะปอกแอบเปิ้ล แม่จะบอกเขานะว่าไม่เอา” คุณยายพูดขึ้นมาลอยๆเมื่อเห็นคุณพยาบาลจะมาเปลี่ยนน้ำเกลือ
“ ไม่มีแอบเปิ้ลคะ เรากำลังจะให้น้ำเกลือ “ ได้ผลคะ คุณยายบอกว่า นี่แม่ละเมอไปเองหรือ...
แม่ต้อยโทรศัพท์ไปถามผู้รู้ทุกท่าน ทุกคนที่แม่ต้อยหารือจะพุดคล้ายๆกันว่าคนแก่ขนาดนี้มักจะเป็นแบบนี้ทุกคน
“ ไม่หายหรอก เป็นถาวรเลยละ ต้องหาคนดูแลดีดี..” ทำเอาแม่ต้อยจิตตก
แต่แม่ต้อยมีความหวังเสมอ คนอื่นจะหมดหวังก็ช่าง พรุ่งนี้ต้องดี กว่าวันนี้แน่นอน มันต้องเป็นเช่นนั้น
ทุกวันเราจึงทำให้คุณยายใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อาบน้ำในห้องน้ำ กินอาหารที่ชอบ นั่งรถเข็นไปเที่ยวรอบๆ เพื่อให้การรับรู้ของคุณยายเป็นไปอย่างปกติ
แม่ต้อยบินกลับไปทำงานเมื่ออยู่กับคุณยายได้ ๑๒ วัน ในตอนนั้นอาการทางร่างกายของคุณยายเริ่ม ดีเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นอาการหลงลืมในบางครั้ง แม่ต้อยจัดหาคนเฝ้าจำนวนสองคน นอกเหนือจากน้องสาวที่มาดูแลแล้ว
น้องสาวแม่ต้อยรายงาน ด้วยระบบรูปภาพและเปิดโทรศัพท์ให้แม่ต้อยฟังเสียงคุณยายวันละหลายๆครั้ง จนถึงวันที่๑๐ ของการนอนโรงพยาบาล
ทุกๆวันอาการเพ้อจะค่อยลดลง ๆ จนถึงวันนี้ วันที่คุณหมออนุญาตให้คุณยายกลับบ้านได้แล้ว
“ แม่ต้อยคะ ยายนอนหลับดี ทานข้าวได้มากคะ ไม่มีอาการเพ้อเลยคะ หายแล้ว “ เด็กที่เฝ้ารายงานเสียงแจ๋ว ลองคุยกับยายนะคะ
คำแรกที่คุณยายถามแม่ต้อยทางโทรศัพท์คือ
“ กินข้าวหรือยังลูก? “
เป็นคำทักทายที่มีค่ามากสำหรับแม่ต้อยจริงๆคะ
และประสบการณ์ของการเป็นญาติที่ได้ดูแลแม่นั้นเป็นดั่ง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราได้มีโอกาสทำให้คนที่เรารัก
แม่ต้อยขอขอบคุณทีมแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลนากลาง ทีมส่งต่อรพ.นากลาง
ทีมแพทย์ พยาบาล ER ICU และทีมแพทย์ พยาบาล ตึกผู้ป่วยพิเศษ รวมน้ำใจโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี
คุณหมอ หมิว คุณดำรงเกียรติ น้องกิตติยา คุณนิด คุณหมอทวีรัชต์ น้องอังคณา คุณหมอ ปราโมทย์ และทุกท่านที่มาให้กำลังใจในยามวิกฤติ
ขอบคุณอาจารย์ อนุวัฒน์ และน้องๆจากสรพ. ทุกท่านที่ห่วงใยไถ่ถามด้วยความห่วงใย
เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดที่ได้รับจริงๆคะ
สวัสดีคะ
ให้กำลังแม่ต้อยนะคะ
คุณแม่ของแม่ต้อยสบายใจได้ มีคนมีคุณภาพแบบแม่ต้อย ดูแลท่านอยู่
จะต้องหายโดยเร็วไวค่ะ
สวัสดีวันครูค่ะแม่ต้อย
สวัสดีครับ แม่ต้อย
ขอให้คุณยาย และทุกคนในครอบครัว
โชคดี สุขกาย สบายใจ ตลอดปี นะครับ
และ
ขอบคุณที่แวะไปอ่าน
สวัสดีค่ะอาจารย์แม่ต้อย
เป็นกำลังใจในการดูแลคุณแม่ค่ะ
สวัสดีค่ะแม่ต้อย..อ่านบันทึกแล้วคิดถึงแม่ที่สุด..ขอให้คุณยายสุขภาพแข็งแรงคุณยายคุยเก่งน่ารักมากๆค่ะ..^_^
สวัสดีคะ
ขอบคุณทุกๆท่านนะคะ
คุณยายได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดคะ แต่ว่าด้วยพยาธิสภาพและอายุที่มากแล้ว คุณยายได้จากไปแล้วเมื่อวันที่๒๒ มิถุนายนที่ผ่านมาคะ
ขอบคุณทุกท่านคะ