นกขมิ้นหลงคอน


ความรู้สึกสะลึมสะลือ ดวงตาฝ้าเลือนเหมือนพูดรำพึงกับตัวเองว่า หรือว่านกขมิ้นเหล่านี้มันจะ หลงคอนเสียแล้ว

นกขมิ้นหลงคอน     บุญช่วย มีจิต

 

            เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำนี้จะนอนไหนเอย.....

                เพลงกล่อมเด็กบทนี้บุญมีจำได้ดี  เพราะว่าคุณยายเคยร้องกล่อมก่อนนอนทุกครั้ง  และเขาได้สร้างกรรมสร้างเวรกับนกขมิ้นมาแล้ว  ด้วยความซุกซนคึกคะนองของวัยเด็ก  เพราะเคยแอบเอาพรุหรือลูกดอกไปคอยไล่ยินขณะที่มันบินมากินลูกโพสุกต้นใหญ่ข้างรั้ว   แต่ไม่เคยยิงได้แม้สักครั้งเดียว    เพราะเจ้านกขมิ้นมันหูตาไว

มีสัญชาตญาณในการระวังภัยที่ดีมาก  เห็นอะไรแปลก ๆ  ไม่ชอบมาพากล   ก็จะบินหนีไปเสียก่อน   มันจะบินมากินลูกโพสุกเป็นฝูง  ๆ  ทุกเช้า เย็น  แต่ไม่ทราบว่ามันนอนที่ไหนเหมือนดังเพลงที่ร้องนั่นแหละ

                บุญมีเป็นเด็กบ้านนอกกะโปโลคนหนึ่ง  ซึ่งก็เหมือนกับเด็กอีสานทั่ว ๆ  ไปนั่นแหละ  ยากจน หิวโหย และต่อสู้กับชีวิตตามยถากรรม  พอเรียนจบชั้นประถมปีที่สี่แล้ว  ก็ออกมาหาปู  หาปลา หากบ  หาเขียด กินตามประสาบ้านนอก  เขาเคยคิดใฝ่ฝันอยากเรียนให้สูง ๆ  เหมือนกัน  จะได้เป็นครู เป็นตำรวจ เหมือนครูก้าน และหมวดพันบ้าง  แต่ก็ได้เพียงคิดเท่านั้น  เพราะทุกหมู่บ้านในตำบลย่านนั้นไม่มีใครได้เรียนเลยสักคนเดียว    ถ้าอยากเรียนก็ต้องไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระหรือบวชเท่านั้น

                เช้าขึ้นมาถ้าไม่จูงควายตู้คู่ใจไปกินหญ้าที่ทุ่งนา  ก็จะสะพายข้องถือมีดพร้าและพรุอาวุธคู่กาย  ออกไปชายทุ่งหรือป่าละเมาะ  เพื่อเสาะแสวงหาสิ่งที่พอจะเป็นอาหารได้  ไม่ว่าจะเป็นจักจั่น แมงอี   จุดจี่   ตั๊กแตน ตลอดจนกิ้งก่า  จิ้งเหลน  ไม่เว้นแม้กระทั่งนกคุ่ม งูสิง  ฝีมือการยิงพรุหรือเป่าลูกดอกของเขาแม่นเหมือนจับวาง กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ  วิ่งขึ้นบนต้นไม้   ถึงเห็นแค่หัวเพียงนิดหน่อย   เขาก็ยกพรุเล็งเป่าลูกดอกพรวดเดียว    เจ้ากิ้งก่าชะตาขาดตัวนั้นก็ร่วงผล็อยลงมาพร้อมกับลูกดอกปักที่หัว   ดังนั้น  ตกเย็นเขาจึงมีบรรดาสรรพสัตว์และแมลงชนิดต่าง ๆ เต็มตะข้องและร้อยเป็นพวง  เอามาให้ยายปรุงเป็นอาหารเลี้ยงครอบครัว

                บุญมีเป็นหลานโทนคนเดียวของยาย  เพราะแม่ของมันชิงลาโลกไปก่อนตอนคลอดน้องสาวของเขา  แต่รกไปออก   ส่วนพ่อนั้นก็หนีกระเซอะกระเซิงไปด้วยความเสียใจที่สูญเสียเมียที่รัก  ไม่สนใจไยดีลูกน้อยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยายและตาเลี้ยงดูกันตามลำพัง  ดังนั้น  เขาจึงเป็นเสมือนดวงตา  ดวงใจของยาย  เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของยาย   เขาก็รักยายมากและเรียกยายว่าแม่ทุกครั้งไป  เพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าแม่ที่แท้จริงเลย  อาศัยดูดกินน้ำนมของยายจึงได้ใหญ่โตขึ้นมา

                บุญมีเป็นเด็กฉลาด  ช่างพูด ช่างเจรจา  จึงเป็นที่รักของเพื่อน ๆ และคนทั่วไป

                “  โน่นแม่เจ้ามองดูอยู่บนโน้น

                ยายชี้ให้เขาดูพระจันทร์เต็มดวงยามค่ำคืน

                “  นั่นเสียงเรียกของแม่เจ้า  ”

                ยายพูดเมื่อได้ยินเสียงนกกาเหว่าร้องแว่ว ๆ  มาจากแนวป่า  พร้อมกับน้ำตาใส ๆ  ไหลอาบแก้มของยาย  ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่า  ทำไมยายจึงพูดเช่นนั้นแล้วร้องไห้ 

                “ บุญมีอยากบวชไหม ? ” 

                ยายดึงหลานเข้ามากอดจนแน่นแล้วพูดด้วยเสียงสั่น ๆ  แบบฝืนใจในคืนวันหนึ่ง

 

- 2 -

                “  บวชเพื่อจูงแม่ของเจ้าขึ้นสวรรค์  ”   ยายพูดต่อ

                “  หัวโหนก  ๆ  ทุย  ๆ  อย่างนี้  ใบหน้ากลมไข่  รูปใบโพธิ์อย่างนี้  คงสวยสง่าน่าดูถ้าได้สรวมชฎาเวลาแห่นาค  ”  ยายจินตนาการล่วงหน้าไปถึงพิธีบวชซึ่งนาคต้องสรวมชฎาสีแดงสดสวย เวลาแห่รอบพระอุโบสถ

                ถึงแม้ว่าบุญมีจะมีอายุมากถึงสิบขวบแล้วก็จริง  แต่เขาก็ไม่ประสีประสาอะไรมากนัก  ยิ่งเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าเขายิ่งไม่รู้เรื่อง  จึงตอบยายทั้ง ๆ  ไม่แน่ใจว่า  มันหมายความว่าอย่างไร

                “  ครับ ” 

                เขาตอบสั้น ๆ  คงเป็นเพราะประโยคที่ว่า “  จูงแม่ขึ้นสวรรค์ ”  นั้นกระมัง

                เมื่อวันขึ้นห้าค่ำเดือนสี่ปีชวดตอนบ่าย  ๆ  เสียงตะโกนเรียกชื่อบุญมีโหวกเหวกดังก้องไปทั่วป่าละเมาะ  เพราะเขากำลังสนุกสนานอยู่กับการเล่นซ่อนแอบกับเพื่อน ๆ  โดยหารู้ไม่ว่า  วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้เล่นสนุกสนานอย่างนี้  เมื่อเขาโผล่หน้าออกมาเห็นตา  ยายและญาติสี่ห้าคนยืนรออยู่แล้ว  และรับเอาตัวเขาไปยังวัดอุปัชฌาย์ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่ากิโล

                ขณะที่ปลงผม โกนคิ้ว อยู่นั้น  บุญมีนึกว่าทำเล่นอยู่เลย  ยังพูดจาหัวเราะ ล้อเล่นกับญาติ  ๆ อย่างไร้เดียงสา  น้ำอบ น้ำหอม อันผสมด้วยอ้ม  เนียม ขมิ้นและดอกไม้นานาชนิด ถูกราดรดลงตั้งแต่หัวจรดเท้า   เพราะความที่เขาอยู่แต่กับขี้โคลนขี้เลน  จึงต้องออกแรงขัดสีขี้ไคลกันนานหน่อย   เมื่อเสร็จจากการอาบน้ำชำระร่างกายแล้วไม่นาน  เขาก็กลายเป็น

                “  สามเณรบุญมี  ศรีสงวน ” 

                ห่มจีวรสีเหลืองอร่ามงามจับตาสมใจยายภายในชั่วพริบตา   และเขาก็ถูกทิ้งให้อยู่ในวัด   ภายใต้การปกครองของท่านอุปัชฌาย์แต่เพียงลำพัง  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาออกจากอ้อมอกอันอบอุ่นของตา  ยาย  ต้องเผชิญกับโลกกว้างด้วยตัวเองแค่วัยเพียงสิบขวบ  เหมือนดังนกน้อยที่สลัดขนหางบินออกจากรวงรังไปหากินตามแนวป่าแต่เดียวดาย

                “ โย จกฺขุมา  โมหปฺมาลา ปกฏฺโฐ............. 

                ทุกเช้าเย็นสามเณรบุญมีเอาใส่ใจ  ท่องบ่น  สวดมนต์ สาธยายธรรมะ วิธีการท่องบทสวดมนต์  ก็คือในตอนเช้ามืดและย่ำค่ำหลังทำวัตรเช้า - เย็น  ห่มจีวรเรียบร้อยแล้วเข้าไปกราบอาจารย์ผู้สอน  และว่าตามทีละวรรค ทีละบทแล้วแต่ว่าใครจะจำได้มากน้อยเพียงใด  จนจำได้แล้วลงไปท่องดัง  ๆ  ที่ลานวัด    เมื่อจำได้แม่นแล้วก็ขึ้นมารับบทต่อไปจบบทหนึ่งก็ขึ้นบทใหม่ไปเรื่อย  ๆ  และต้องพยายามท่องสิ่งที่เรียนมาอย่าให้ลืม  ถ้าผู้ไม่มีใจรัก  ไม่เอาใจใส่หรือสมองไม่ดี  ความจำไม่แม่นก็จะได้หน้าลืมหลัง  เรียนวนไปวนมาอยู่ที่เดิม  โดนดุโดนตวาดจากอาจารย์ผู้สอน  หลายคนทนไม่ได้ต้องลาสิกขาออกไป   

แต่ เพราะความขยันหมั่นเพียร  และความเอาใจใส่ไม่ทอดธุระ  เพียงเวลาไม่กี่เดือนสามเณรบุญมีก็สามารถท่องบทสวดมนต์ที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็ว  ไม่ว่าทำวัตรเช้า  ทำวัตรเย็น สวดมนต์  สวดมาติกาบังสุกุล  และบทสวดอื่น ๆ  จนเป็นที่รักใคร่ของท่านอุปัชฌาย์   ได้รับตำแหน่งสามเณรอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์แทนรุ่นพี่

 

- 3 -

 

                เณรบุญมีเป็นคนขยัน ขันแข็งเอาใจใส่ต่อหน้าที่  ตอนกลางวันหลังฉันเช้า ฉันเพลเสร็จ  ก็ถือหนังสือผูกใบลาน ไปเรียนเทศน์อักษรธรรมกับอาจารย์  จนแตกฉานสามารถอ่านหนังสือผูก   คัมภีร์ต่าง ๆ   ได้ในเวลาอันรวดเร็ว  ได้เป็นตัวแทนออกไปเทศน์ในงานบุญประจำปีของวัดต่าง ๆ  ที่จัดขึ้นตามประเพณี  ถือเป็นหน้าที่อันสำคัญ  เนื่องจากว่าแต่ละวัดจัดงานบุญแล้วแบ่งกัณฑ์เทศน์กัณฑ์ละสองสามใบไปนิมนต์บรรดาวัดต่าง ๆ  ในบริเวณใกล้เคียงมากน้อยแล้วแต่ศรัทธาของแต่ละหมู่บ้าน  ปลูกตูบ ตั้งผาม(ปะรำ)เรียงรายรอบวัด  การเดินทางไปงานบุญบ้านไกลต้องเดินด้วยเท้า  บุกป่า ฝ่าทุ่ง และเปลวแดดอันร้อนระอุ     แต่บางครั้งก็มีทั้งฆราวาสญาติโยมประสกสีกาเดินไปด้วยเป็นขบวนใหญ่   มันเป็นวัฒนธรรมประจำถิ่นที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

                “ บุญมี ”

                พระอุปัชฌาย์เรียกเขาขณะเช็ดบาตรหลังฉันเช้าวันหนึ่ง

                “ ครับผม ”

                เณรบุญมีขานรับอย่างนอบน้อม

                “ ฉันว่า เณรควรจะเรียนนักธรรมควบคู่กันไปด้วยนะ” 

                พระอุปัชฌาย์บอกด้วยความหวังดี

                พอได้ยินคำว่า “  เรียน ”  หัวใจของเณรบุญมีก็พองโตคับอก  เพราะเป็นสิ่งที่เขาคิดฝันมาตั้งแต่จบชั้น ป.สี่แล้ว  ทั้ง ๆ  ที่ไม่รู้ความหมายว่า  เรียนนักธรรมคืออะไร จากนั้นเป็นต้นมาเมื่อมีเวลาว่างเขาก็หนีบหนังสือนวโกวาทใส่จักแร้  ลงไปนั่งท่องอยู่ที่ศาลาการเปรียญไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์เหมือนคนอื่น  ๆ  และเพราะความมุมานะพยายาม  เขาท่องจบเล่มตั้งแต่วินัยบัญญัติอนุศาสตร์แปดอย่างไปจนถึงธรรมวิภาคคิหิปฏิบัติในเวลาเพียงเดือนเดียว และท่องบ่นทบทวนกันลืมทุกวัน  จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ภายในปีนั้นนั่นเอง

                “  กระผมใคร่ขอลาไปเรียนต่อในเมือง ” 

                สามเณรบุญมีก้มกราบพระอุปัชฌาย์  เพื่อบอกความในใจให้ทราบในเช้าวันหนึ่ง

                “  เออ ไปดีเถิดนะ  ฉันไม่ห้ามดอก  เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อเกียรติภูมิของวงศาคณาญาติ จงไปเถอะ  อย่าลืมนะว่า  เราเป็นลูกกรำพร้าไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ทำอะไรให้ตั้งอกตั้งใจ ดังพุทธภาษิตที่ว่า  วิริเยน  ทุกขมจฺเจติ  บุคคลจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร ” 

                พระอุปัชฌาย์สอนเณรบุญมีพร้อมกับยื่นซองสีขาวให้หนึ่งซองบอกว่า

                “ นี่เป็นค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ  น้อย ๆ  ถึงฉันจะรักเธอ  เสียดายเธอ  ฉันก็จะไม่ห้าม  แต่ถ้ามีเวลาว่างก็กลับมาเยี่ยมบ้างนะ ” 

 

 

 

 

- 4 -

 

                บุญมีรับมาด้วยมืออันสั่นเทาน้ำตาเอ่อคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้ง  ถึงเขาจะรัก จะอาลัยท่านอุปัชฌาย์มากเพียงใดก็ตาม   แต่เมื่อคิดถึงอนาคต คิดถึงการเรียน  จำต้องตัดใจ  ทั้ง ๆ  ที่ยังไม่ทราบว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขอให้ได้ไปแสวงหาสำนักเรียนดี ๆ  มีครูสอนอย่างเต็มที่  ไม่ใช่ปล่อยให้ท่องเอง  อ่านเองแล้วไปสอบอย่างทุกวันนี้ 

                การเดินทางไปยังตัวเมืองนั้น  ต้องรอนแรมขึ้นเขา  เข้าป่าดิบ  เป็นวัน ๆ  จึงพ้นแนวเขา  ต้องเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็ก ๆ  ในแนวป่า  มองไปข้างหน้ามีแต่เขากับเขา  ป่ากับป่า ยังดีที่ยังมีเสียงจักจั่น เรไร เสียงนกไพรร้องประสานเป็นเพลงป่าอันน่ารื่นรมย์  ทำให้เขานึกถึงเรื่องเวสสันดรกัณฑ์มหาพนที่เคยขึ้นธรรมาสน์เทศน์  ด้วยพรรณนาโวหารบรรยายถึงราวป่าเขาวงกตคีรีอันแสนเพราะพริ้ง    ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีชื่อนก  ชื่อไม้แปลก ๆ  พอมาประสบด้วยตนเองเขาก็เลยเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า  เขาวงกตนั้นมีจริง  ถึงไม่มี ณ แห่งใดในโลกก็ตาม   

ก็นี่แหละคือเขาวงกตที่บรรดานักประพันธ์ท่านกล่าวถึงละ

                สองสามปีที่เขาเข้าไปเรียนในสำนักเรียนเล็ก  ๆ  แห่งนั้น  จากเณรบ้านนอก  เขากลายเป็นคนในเมืองแล้วโดยสิ้นเชิง  เห็นได้จากเวลากลับไปเยี่ยมบ้าน พระอุปัชฌาย์มักทักว่า  เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก   ใช่  เขาเปลี่ยนไปเพราะการศึกษา  เขาเปลี่ยนแปลงเพราะสังคมเมือง  เขามองเห็นแสงสว่างร่ำไรว่า  ถ้าจะให้ได้รับประโยชน์จริง  ๆ  ต้องไปเรียนยังสำนักเรียนใหญ่  ๆ  ในเมืองหลวง  จะได้เลือกเรียนได้ตามใจ  แต่.....จะไปอย่างไร  ไม่รู้จักใครเลย  ไม่รู้แม้กระทั่งจะไปโดยวิธีไหน   ที่สำคัญใครล่ะจะส่งเสียค่าใช้จ่าย  ถึงแม้บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ 

แต่ก็คงมีค่าใช้จ่ายบ้างหละ

“ เราบากหน้าไปหาที่เรียนที่กรุงเทพ ฯ กันไหม ? ”

เขาปรึกษากับเพื่อนคู่หูในวันหนึ่ง  หลังจากสอบนักธรรมเอกได้แล้วและเริ่มหัดท่องบาลี สิ โย อัง โย

“  เอ้า  ไปไหนไปกัน ”  เพื่อนใจถึงคนนั้นตอบตกลง

“  เราอยู่ที่นี่ก็ได้แค่นี้แหละ  ธรรมบทก็ไม่มีสอน  ยิ่งวิชาทางโลกไม่ต้องพูดถึง  ”

รถบัสสีส้มสวยหรู  ดูใหญ่โตสง่างามมากกว่ารถสองแถวแบบคอกหมูที่เคยนั่งเข้าเมือง  มีเบาะอ่อนนุ่ม

บีบแตรดังเหมือนเสียงช้างร้อง   เขามองอย่างอิจฉา  คนอย่างเขาจะมีบุญวาสนาได้นั่งรถสวย ๆ  อย่างนี้หรือไม่หนอ   แต่บัดนี้เขาและเพื่อนนั่งชูคออยู่บนเบาะและจะเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร  อา  มันช่างตื่นเต้นเสียนี่กระไร  เรากำลังมุ่งหน้าไปเมืองหลวง  เมืองที่เคยได้ยินแต่ชื่อ  เมืองที่เคยได้รู้แต่ในเพลง  เมืองที่เคยเห็นแต่ในภาพตามหนังสือ  โอ  กรุงเทพฯ เมืองในฝัน  อีกไม่นานข้าฯ ก็จะได้ไปเหยียบแล้ว  ถึงแม้การเดินทางอันยาวไกลจะทำให้เหนื่อยล้า  แต่ด้วยความตื่นเต้น  ดีใจ  ทำให้บุญมีและเพื่อนหลับไม่ลงตลอดคืน

                พากันซุบซิบคุยเบา ๆ  คิดฝันถึงอนาคตตลอดทั้งคืน  คิดถึงเมืองสวรรค์  คิดถึงแดนศิวิไลซ์     คิดถึงการเรียนคิดถึง............ฯลฯ  กำลังคิดอะไรเพลิน  ๆ  ฟ้าสางทางทิศตะวันออกมองเห็นอะไรราง ๆ  ถึงฟ้าไม่สางก็

 

- 5 -

มองเห็นได้รอบข้าง  เพราะแสงสีนีออนเต็มถนนหนทางไปหมด   เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์  ภาษาพูดเปลี่ยนเป็นภาษาไทยกลาง  ถึงแล้วที่หมาย

กรุงเทพมหานคร

ความฝันต้องพังทลายเมื่อพากันตระเวนหาวัดอยู่เท่าไร  ๆ  ก็ไม่มีใครรับสักที  เพราะไม่มีคนฝาก  เช้าขึ้นมาพากันเดินบ้าง  นั่งรถเมล์บ้าง  เห็นยอดโบสถ์ยอดปรางค์ที่ไหนเข้าไปหา  คำตอบที่ได้เหมือนกันหมด

 “  วัดนี้ไม่รับคนอีสาน ”

“  คณะนี้รับแต่คนสุพรรณ ”

“  วัดนี้เจ้าอาวาสเป็นคนใต้  ท่านไม่รับคนภาคอื่น ”

“  เต็มแล้วเณรเอ๊ย  อยากช่วยอยู่หรอกแต่ไม่มีที่ให้อยู่ ”

“  เณรไปหาทั้งปีก็ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีคนฝาก ” 

ล้วนเป็นคำตอบที่บุญมีไม่เข้าใจ  ทำไมวัดที่คนสุพรรณเป็นใหญ่จึงรับแต่คนสุพรรณ  ทำไมวัดที่คนใต้ดูแลจึงรับแต่คนใต้  ทำไมวัดมีเป็นร้อย ๆ  จึงไม่มีวัดใดว่างเลย   แต่ถ้ามีคุณหญิงคุณนายฝากถึงไม่ว่างก็อัดเข้าอยู่ได้  ที่น่าเศร้าใจบางวัดถึงกับเซ้งห้อง   เซ้งกุฏิกันก็ยังมี

ทั้งสองเณรพากันตระเวนหาวัดอยู่เกือบสามเดือน  จวนจะเข้าพรรษาแล้วยังไม่ได้  จึงต้องยอมแพ้พากันออกไปตั้งหลักที่ต่างจังหวัดเสียก่อน ไปจนสุดรางรถไฟ   ออกพรรษาลาพระเจ้าค่อยกลับมาใหม่

“  ความพยายามอยู่ที่ไหน  ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ”

บุญมีท่องคาถานี้ไว้เสมอเวลาพบอุปสรรค  และก็แก้ได้ทุกครั้งไป

เมื่อออกพรรษา หญ้าแห้งบุญมีและเพื่อนไม่ลดละความพยายาม  พากันเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ  อีกครั้งหนึ่ง   ด้วยตั้งใจว่า  ถ้าไม่ได้วัดอยู่จะไม่กลับมาอีก

                “  ผมไม่อยากฝาก ทำไม่ดีมาผมก็เสียคน ”

                ท่านพระครูบุญธรรมเจ้าคณะ 14 แห่งอารามหลวงมีชื่อแห่งหนึ่ง พูดกับสามเณรทั้งสองที่เข้าไปขอความช่วยเหลือในเช้าวันหนึ่ง   เนื่องจากท่านพระครูเป็นคนพื้นเพเดียวกัน   หลวงพ่อที่บ้านนอกพึ่งฝากฝังมาเมื่อตอนกลับไปเยี่ยมบ้านแล้งที่แล้วนี่เอง   ท่านรับปากแล้วก็เลยขัดไม่ได้

                “  ผมฝากใครแล้ว มันเฮี้ยว ” 

                ท่านพระครูพูดอีกซึ่งบุญมีไม่เข้าใจคำว่า  “  เฮี้ยว ”  หมายถึงอะไร ครั้นจะไปค้นดูจากพจนานุกรมฉบับใหม่ที่เก็บคำภาษาสะแลงไว้ด้วยก็ยังไม่มี    เอาเถอะถึงจะเข้าใจไม่เข้าใจไม่สำคัญ  ขอให้ได้วัดอยู่เป็นใช้ได้    จึงก้มกราบพร้อมกับรับปากว่า

                “ กระผมรับรองว่าจะไม่ให้เดือดร้อนถึงท่านพระครู ”

                สามเณรบุญมีรับเศษกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งมาจากท่านพระครูบุญธรรม  แล้วก็ไปยังวัดเล็ก ๆ  แห่งหนึ่งที่อยู่ในซอยลึก  ไปพบท่านพระครูเจ้าอาวาสพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ท่าน  เจ้าอาวาสรับมาอ่าน

 

 

- 6 -

 

แบบไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก   แล้วก็สั่งพระครูสมุห์ให้จัดห้องให้อยู่ที่ใต้ถุนกุฏิข้างบันได  หน้าห้องน้ำนั่นเอง 

“ นี่หรือที่เขาเรียกว่าสังคมอุปถัมภ์ ”

เณรบุญมีรำพึงรำพันหลังจากขนสมบัติซึ่งไม่มีอะไรมากนักนอกจากหนังสือ 1 กล่องกระดาษ  บาตร 1 ใบ และของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อยเท่านั้น

“ เที่ยวเดินหาวัดมาเกือบสี่เดือน  บทจะได้แค่ตัวหนังสือเพียงบรรทัดเดียว จะไม่ให้เรียกว่าระบบอุปถัมภ์ได้อย่างไร ”

ความจริงเขาฝันว่าจะได้อยู่วัดใหญ่  อารามหลวงที่มีชื่อเสียง  ที่อยู่สะอาดสะอ้านกว้างขวางใหญ่โตน่าภาคภูมิใจ อยู่ใกล้ท่านเจ้าคุณสมเด็จ  แต่ได้มาอยู่วัดเล็ก ๆ  ในซอยลึก  ๆ  ห้องอับ ๆ  คับแคบ  เหม็นสาบห้องน้ำ  อากาศหายใจแทบไม่มี  ยุงก็ชุมแสนชุม  เขาจะทนได้หรือ  อยากจะลาออกไปในวันนั้นเลยทีเดียว    แต่คำพูดว่า

 “ ผมฝากใครแล้วมันเฮี้ยว ”  ยังฝังใจอยู่  อย่างไรเขาต้องทนและสู้ต่อไป   ต่อมาเขาจึงได้ประจักษ์ว่า

อยู่วัดเล็ก  ๆ  ดีกว่า  ด้วยว่าสัปปายะอาหารบิณฑบาตไม่ขาดแคลน  ไม่เหมือนวัดใหญ่  ๆ  มีพระเณรเป็นร้อย ๆต้องแย่งกันบิณฑบาต  บางครั้งถึงกับทะเลาะวิวาทกันก็มี   เพราะการออกบิณฑบาตก็ต่างคนต่างไป  ได้มาเท่าไรก็ต่างคนต่างฉัน   ไม่มีเดินเป็นแถวเรียงหนึ่งได้อะไรมา  ก็เอื้อเฟื้ออาทรแบ่งปันกันเหมือนบ้านนอกที่เขาเคยอยู่มาอย่างจำเจ

 นี่หรือสังคมเมืองกรุงต่างคนต่างอยู่   ตัวใครตัวมัน  เป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี

เมื่อมีที่อยู่เป็นที่แน่นอนแล้ว  บุญมีก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน  ๆ  ๆ  อาจจะเป็นเพราะบุญเก่าหรือเพราะความเพียรพยายามของเขา  หรือ ทั้งสองอย่างประกอบกัน  บุญมีสอบได้ทุกปีไม่มีตก จนสอบได้ถึงเปรียญเอก  จากสามเณรบุญมีก็กลายเป็น

“  ท่านมหาบุญมี  สีลเตโช ” 

คนเราเมื่อยามบุญพาวาสนาส่งอะไร  ๆ  ก็ดีไปหมด  แต่ถ้าบุญหดวาสนาหายสิ่งร้าย ๆ  ก็ตามมา

เวลาผ่านไปห้าหกปี  มหาบุญมีได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์อันเป็นสุดยอดปรารถนาของเขา    และที่นี่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของบุญมี  เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง  นิยายแห่งชีวิตเริ่มขึ้นที่ตรงนี้

อาคารทรงไทยใหญ่โตคล้ายโบสถ์หลังนั้นเต็มไปด้วยตู้พระไตรปิฎกและตู้หนังสือนานาชนิด   ข้างทางเข้าด้านขวามือเป็นโต๊ะทำงานเจ้าหน้าที่   มีตู้เล็ก ๆ สำหรับใส่บัตรค้นหาหนังสือ  ชื่อผู้แต่งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบตามหลักการจัดหมวดหมู่หนังสือแบบสากล  มันคือหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนั้น

มหาบุญมีฝังตัวอยู่ในห้องสมุดเป็นวัน ๆ  เข้าไปอ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง  เขาอ่านอย่างหิวกระหายเหมือนดั่งคนเดินทางไกลผ่านที่ทุรกันดารไปพบน้ำบ่อแก้ว  แล้วดื่มกินอย่างตะกละตะกราม  เขาอ่านมันทุกประเภท  ทุกนักเขียนทั้งปรัชญา  ศาสนา ประวัติศาสตร์ สารคดี ชีวประวัติ การเมือง นวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นของ

 

 

- 7 -

ยาขอบ พนมเทียน  ศรีบูรพา นายผี  ทีปวร ศ.ศิวลักษณ์  มรว.คึกฤทธิ์ หรือแม้แต่นักเขียนปัจจุบันทั้งวิลาส  มณีวัตร อิศรา อมันตกุล กามนิตวาสิฏฐี  ลีลาวดี ธรรมโฆษ

นอกจากอ่านในห้องสมุดแล้วเขายังใช้สิทธิ์ในการยืมออกนอกห้องสมุดอย่างเต็มที่ครั้งละห้าเล่ม  นำไปอ่านในห้องเรียนเวลาผู้บรรยายไม่มาและอ่านทุกหน  ทุกแห่งที่มีโอกาส  เขาไม่สนใจว่าผลการเรียนจะเป็นอย่างไร  เพียงประครองตัวไม่ให้สอบตกเท่านั้นก็เป็นพอ  ขอให้ได้อ่าน อ่าน อ่าน หนังสือที่อยากอ่าน

อ่านมากก็มีความรู้มาก   รู้มากความคิดเห็นวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ก็มีมากตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว

“ สังคมเรานี่หาความเป็นธรรมได้ยากจริง ๆ ”

เขาเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์พูดกับเพื่อน ๆ  ในบ่ายวันหนึ่ง

“ มันไม่เป็นธรรมอย่างไร ”   ท่านมหาสุธรรมเอ่ยถาม

“ ก็ไม่เห็นหรือหลวงพ่อใหญ่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ”

 “  พ.ร.บ.คณะสงฆ์ก็เป็นเผด็จการ ”

“ และมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ท่านเรียนอยู่นี่ก็เป็นมหาวิทยาลัยเถื่อน  ไม่มีกฎหมายรองรับ ”

เขาระบายความอัดอั้นตันใจให้เพื่อน ๆ  ฟังยังกับภูเขาไฟระเบิด

“  เออจริง ”

ท่านมหาคำมูลสนับสนุน

“  พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว ”

มหาบุญมีพูดพร้อมกับชักชวนเพื่อน ๆ  ให้เห็นความเลื่อมล้ำในสังคมสงฆ์ว่า  ถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้มีการเปลี่ยนแปลง  จนมีผู้เห็นด้วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  ยิ่งเมื่อผ่านยุคท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ  ไม่รู้ว่าใครเป็นใหญ่ที่แท้จริง   นักศึกษาประชาชนโค่นล้มทรราชลงไปแล้วก็มีรัฐบาลใหม่  รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ  เห็นได้จากการเรียกร้อง ประท้วง  ชุมนุมของกลุ่มพลังต่าง ๆ  ใครไม่พอใจอะไร ก็ก่อม็อบตั้งกลุ่มเรียกร้องเอา  และมักจะสำเร็จทุกราย  จึงกลายเป็นการเอาอย่างไปโดยไม่รู้สึกตัว

เรือหางยาวสองตอนวิ่งตะบึงจากแม่น้ำเจ้าพระยา  เข้าไปในคลองอันคดเคี้ยวเต็มฝีจักร  น้ำแตกกระจายเป็นฟองขาว  เสียงดังสนั่นแสบแก้วหูจนคุยกันไม่ได้ศัพท์  แต่เป็นธรรมดาเสียแล้วสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่สองฝั่งคลองแห่งนั้น  เรือไปจอดเทียบท่าที่บันไดวัดแห่งหนึ่งในสวนลึก  มหาบุญมีก้าวลงจากเรือตรงไปยังกุฏิเจ้าอาวาสพร้อมกับเพื่อนสี่ห้ารูป

ที่ห้องโถงมีพระหนุ่ม ๆ  นั่งอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง

“  นิมนต์ครับท่านมหาทั้งหลาย  ”

ท่านเจ้าอาวาสที่ยังหนุ่มแน่นเพราะพึ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์  เป็นพระราชาคณะได้ไม่นานมานี่เอง  กล่าวต้อนรับ  หลังจากแนะนำซึ่งกันและกันแล้วการประชุมลับกลางสวนลึกก็ดำเนินไปอย่างดุเดือด  มีการอภิปรายถึงผลกระทบทั้งด้านบวก ด้านลบ อย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม  ด้วยว่าเป็นการประชุมที่มีตัวแทนพระ

 

- 8 -

หนุ่มเณรน้อยสายต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นสายบริหาร  สายนักธรรมบาลี   สายบาลีสามัญ   การศึกษาผู้ใหญ่   โดยมีสายมหาวิทยาลัยสงฆ์ผู้ประสานงานหลักและเป็นฝ่ายมันสมองวางแผน   พระมหาบุญมี  สีลเตโช   ได้รับเลือกให้เป็นโฆษกของกลุ่มเนื่องจากเป็นผู้มีวาทศิลป์คารมคมคาย   เป็นนักพูด  นักอภิปราย นักเผยแพร่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลายทางสื่อมวลชน

ยุวสงฆ์

เป็นชื่อองค์กรจัดตั้งที่จะใช้เคลื่อนไหวเรียกร้องขอความเป็นธรรม

“ พวกเราจะชูประเด็นขอความเป็นธรรมแก่หลวงพ่อใหญ่ก่อน ”

ที่ประชุมสรุปเพราะเด่นชัดกว่าประเด็นอื่น ๆ  และได้แต่งตั้งแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบเป็นฝ่าย ๆ  ให้นำไปปฏิบัติ

ที่สนามหญ้าลานกว้างหน้ามหาวิทยาลัยสงฆ์  มีต้นประดู่ปลูกเต็มไปหมด  บรรยากาศจึงดูร่มรื่นเย็นฉ่ำด้วยร่มเงา  เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเหล่าบรรดานิสิต นักศึกษา   และประชาชนมาอาศัยหลบลมร้อน   ที่มุมสนามด้านหนึ่งมีเวทีเล็ก ๆ  ยกพื้นขึ้นมาเสมออก

“  เพื่อนสหธรรมิกผู้ร่วมอุดมการณ์ที่รักทั้งหลาย .......” 

เสียงทุ้ม ๆ เนิบ ๆ  แต่ทรงพลังของท่านมหาบุญมีดังก้องกังวานขึ้น  ทำให้นกพิราบฝูงใหญ่ตกใจให้แตกฮือบินขึ้นไปสู่ยอดไม้

“ วันนี้ขอให้พวกเราหล่อหลอมดวงใจให้เป็นหนึ่งเดียว  เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมแก่หลวงพ่อใหญ่อันเป็นที่รักที่เคารพของพวกเรา  พวกเราจะรวมกันอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้รับชัยชนะ ”

เสียงนุ่ม ๆ แต่ปลุกเร้าอารมณ์  สะกดคนฟังตรึงให้อยู่กับที่  ดังขึ้นท่ามกลางสีเหลืองอร่ามของจีวรพระนับพันรูป  ตัดกับสีแดงแสดของดอกประดู่ดูงดงามยิ่งนัก  เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการสงฆ์   ที่มีพระมารวมกันประท้วงเรียกร้องขอความเป็นธรรมจำนวนมากเช่นนี้

รุ่งขึ้นสื่อมวลชนทุกแขนงต่างเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม  พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย

บ้างก็กล่าวหาว่าเป็นพวกทำลายศาสนา  ตัวแสบ  หัวเอียงซ้าย  และเป็นคอมมิวนิสต์  รับเงินมาจากเคจีบี  ซีไอเอและจีนแดงอะไรไปโน่นทั้ง ๆ  ที่ค่าโอเลี้ยงเวลาประชุม  พวกเราก็ควักออกมาจากย่ามจ่ายกันเอง  คอลัมน์นิสต์บางคนถึงกับยุยงให้ชาวพุทธเงยหน้าขึ้นถามพระก่อนจะใส่บาตรว่า  ไปร่วมชุมนุมที่ลานประดู่หรือไม่  ถ้าไปไม่ต้องใส่บาตรเพราะไม่ใช่พระ

                “ ขอพวกเราอย่าหวั่นไหวไปกับเสียงครหาที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง  ไม่มีใครรู้เรื่องภายในดีไปกว่าพวกเราหรอก ”  

                ท่านบุญมีกระแทกเสียงลงไปในไมค์โครโฟน  พร้อมกับมีเสียงขานรับต่อกันเป็นทอด ๆ   ว่า

สาธุ สาธุ สาธุ

แถลงการณ์ฉบับแล้วฉบับเล่า  ก็ทยอยออกมาจากห้องศูนย์อำนวยการ  ข้อมูล  ข่าวสารก็ถูกส่งไปยังสื่อต่าง ๆ  และถ่ายทอดออกไปสู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว  ทำให้ผู้ที่คัดค้านกลับมาเห็นใจ  ผู้ที่วิพากย์ วิจารณ์กลับมา

- 9 -

สนับสนุน  ฆราวาสญาติโยมต่างเข้าใจ  แรงสนับสนุนด้านปัจจัยสี่ก็เข้ามาไม่ขาดสาย  ผู้มีศรัทธามาตั้งโรงทานทำอาหารเลี้ยงอย่างไม่อั้น  รถบัสจากต่างจังหวัดคันแล้วคันเล่า วิ่งเข้ามาส่งพระเณรยังลานประดู่แห่งนั้น  ทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมจากจำนวนพันเพิ่มเป็นจำนวนหมื่น  หลายหมื่นในเวลาอันรวดเร็ว  และสุดท้ายรัฐบาลที่ประกาศว่าทำได้ทุกอย่าง  ก็ยอมถวายคืนสมณศักดิ์และตำแหน่งแก่หลวงพ่อใหญ่ ตามคำเรียกร้องและเสนอร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสงฆ์ พ.ศ.........ก็เข้าสู่สภาพิจารณารับหลักการสามวาระ 

                สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ 

จากการชุมนุมเรียกร้องในครั้งนั้น  ทำให้ชื่อเสียงของท่านมหาบุญมีขจรขจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากลีลาการพูดหว่านล้อม  เชิญชวน หรือ การปลุกระดมของท่านเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ฟังยิ่งนัก  และยังมีนักพูด นักปลุกระดม  นักกิจกรรม เกิดมาจากเวทีแห่งนี้ หลายคนได้ดิบได้ดี มีตำแหน่ง  แห่งที่อยู่ในปัจจุบัน

                การเมืองของไทยก็เหมือนอารมณ์ของผู้หญิง  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน

 เดี๋ยวเป็นประชาธิปไตย  ไม่พอใจก็เอาปืนจี้ออกไปเป็นเผด็จการ  ล้มแล้วก็ร่าง  ร่างแล้วก็ล้ม กันอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด   ในการประชุมสภาอันทรงเกียรติว่าด้วยการออกกฎหมายสำคัญของประเทศ  มีการเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ     เพื่อให้เขียนหรือบรรจุสิ่งที่ตนเองเรียกร้องลงไปในสาระสำคัญของกฎหมายอย่างเข้มข้น ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งกลุ่มของมหาบุญมี  ที่รวบรวมเอาองค์กรชาวพุทธมาเรียกร้องให้เขียนคำว่า

 “  พุทธศาสนา ”  ลงไปในกฎหมายด้วย  แต่การเรียกร้องครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งโน้น  เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ  ข้อเรียกร้องจึงได้รับการตอบสนองอย่างเย็นชา  และถูกโต้กลับอย่างรุนแรง

                ลมมรสุมตะวันตกพัดเอาเมฆฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว  กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ของเมืองหลวง  ลมพัดแรงจนกิ่งไม้หักกระจุยกระจาย เต็นท์  โต๊ะ เก้าอี้ ล้มระเนร

หมายเลขบันทึก: 473751เขียนเมื่อ 7 มกราคม 2012 13:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 09:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท