ผลกระทบของโซเชียลเน็ตเวิร์คหรือโซเชียลมีเดียต่อสังคมไทย
ผศ. ดร. กานดา รุณนะพงศา สายแก้ว
รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร ศูนย์คอมพิวเตอร์
อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
1.ทำไมโซเซียลเน็ตเวิร์คถึงมีพลังมากในการสื่อสารในปัจจุบัน
และแนวโน้มอนาคต
ทำไมโซเชียลเน็ตเวิร์คจึงมีพลังมากในการสื่อสารปัจจุบัน
1.1 เพราะมีคนใช้เยอะ
โซเชียลเน็ตเวิร์คที่คนไทยนิยมใช้กันมากคือเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
จากสถิติที่แสดงโดย socialbakers.com
ในวันที่ 19 ธันวาคม 2554 พบว่าจำนวนคนไทยที่ใช้เฟซบุ๊กมีประมาณ
13 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด
และมีอัตราการเติบโตของการใช้เฟซบุ๊กประมาณ 9%
จากสถิติที่แสดงโดย http://www.lab.in.th/thaitrend/
พบว่าจำนวนคนไทยที่ใช้ทวิตเตอร์มีประมาณ 8 แสนคน
แต่ที่ใช้กันทุกวันมีประมาณ 1 แสนคน
1.2กลุ่มคนที่ใช้เป็นกลุ่มคนที่มีสถานะทางการศึกษา
เศรษฐกิจ และสังคมสูง
มีเวลาและพลังในการกระจายข่าวและความคิดให้แก่คนอื่น
ผู้ใช้เฟซบุ๊กอยู่ในช่วงอายุ 18-24 ปี 34% และช่วงอายุ 25-34 ปี
29%
1.3
มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการสื่อสารแบบอื่น
เนื่องจากเป็นการสื่อสารที่มาจากเพื่อน คนใกล้ตัว หรือคนที่เรารู้จัก
โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นการสื่อสารในลักษณะปากต่อปาก
1.4 ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ชอบอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ชอบสื่อสารและ
แบ่งปันข้อมูลให้แก่กัน อยากแสดงออกความมีตัวตนของตน
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีต เมื่อก่อนคนเขียนบนผนังถ้ำ ผนังกำแพง
ผนังวัด ใบลาน และหนังสือ
การรับรู้ของสิ่งที่คนเขียนอยู่ในวงจำกัด
และขยายไปให้ผู้อื่นใช้เวลานาน
แต่ตอนนี้คนเขียนบนโซเชียลเน็ตเวิร์คผ่าน
โมบายแอปหรือเว็บแอปซึ่งรันอยู่บนอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงคนทั้งโลก
ทำให้ส่ิงที่คนเขียนแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วและมีพลังมาก
แนวโน้มอนาคตจะมีจำนวนคนใช้มากขึ้นและมีพลังมากขึ้น
1)
ผลกระทบจากประชาคมอาเซียนที่ไทยจะต้องเข้าร่วมกับประเทศอื่นอย่างใกล้
ชิดมากขึ้นในปี 2558
และหลายประเทศในอาเซียนมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก
จากสถิติที่แสดงใน socialbakers.com
ในวันที่
ประเทศ จำนวนคนที่ใช้ เปอร์เซนต์ที่ผู้ใช้เพิ่มขึ้น
อัตราส่วนของคนที่ใช้ต่อคนทั้งประเทศ
Indonesia
41,774,960 +4.06% 17.19% (อันดับ 2 ของโลก)
Philippines 27,033,680 +1.17% 27.06% (อันดับ
8 ของโลก)
Thailand
13,276,200 +6.83% 19.99% (อันดับ 16 ของโลก)
Malaysia
12,060,200 +2.63% 46.10% (อันดับ 17 ของโลก)
Vietnam
3,607,220 +43.12% 4.03% (อันดับ 41 ของโลก)
Singapore
2,661,360 +2.77% 56.61% (อันดับ 52 ของโลก)
Laos
129,660 +41.70% 1.85%
2)
กลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เป็นนักเรียนนักศึกษาจะยังคงใช้เฟซบุ๊กเมื่เขาทำงาน
3)
การใช้เฟซบุ๊กมีผลช่วยเขาในการได้งานทำและการทำงาน
จากผลการสำรวจและรายงานของบริษัท jobvite พบว่าคนอเมริกันกว่า
22 ล้านคนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นเครื่องมือในการช่วยหางานทำ 86%
ของคนที่หางานทำมีบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์คของตนเอง และประมาณ 15%
ได้งานจากการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค
ในขณะเดียวกันหลายบริษัทก็ใช้เฟซบุ๊กเพจในการหา
คนที่ีมีความสามารถเข้ามาทำงานให้บริษัท
http://www.readwriteweb.com/archives/study_more_than_15_of_workers_got_hired_through_social_networks.php
============================================================
2.กลุ่มไหนบ้างที่นำระบบโซเซียลเน็ทเวิร์คมาใช้มาก เช่น
การค้า,การเมือง,สังคม,เศรษฐกิจฯลฯ
ซึ่งแต่ละกลุ่มมีลักษณะการใช้งานโซเซียลเน็ทเวิร์คอย่างไร
และผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างไร
-
ในประเทศไทยตอนนี้ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มการเมืองและสังคม
กลุ่มการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทย
ต่างก็ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
2.1 กลุ่มการเมือง
ในบรรดานักการเมือง จากสถิติที่แสดงที่ zocialrank.com
เฟซบุ๊กเพจของคุณอภิสิทธิ์มีคนเข้ามาคลิกชอบประมาณ 870,000
คน
มีคนเข้ามาคลิกชอบสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์โพสต์ ประมาณ 2000-4000
คน
เฟซบุ๊กเพจของคุณยิ่งลักษณ์มีคนเข้ามาคลิกชอบประมาณ 540,000
คน
มีคนเข้ามาคลิกชอบสิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์โพสต์ ประมาณ 2000-4000
คน
เฟซบุ๊กเพจของคุณกรณ์ จาติกวนิชมีคนเข้ามาคลิกชอบประมาณ 230,000
คน
ทวิตเตอร์ของคุณทักษิณ และคุณอภิสิทธิ์มีคนตาม 250,000
คน
ในประเทศไทย
ผลกระทบของการใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่มการเมืองยังไม่เห็นชัดเท่ากับในต่างประเทศ
อาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่คนไทยที่ใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่กระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพและปริมณฑล
จากข้อมูลที่เว็บไซต์ของเฟซบุ๊กในวันที่ 18 ธันวาคม 2554
พบว่าผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กในไทยอยู่ในกรุงเทพหรือเมืองที่อยู่ในช่วง 50
ไมล์ห่างจากกรุงเทพจำนวน 9,767,660 คน
คิดเป็น 73.57
เปอร์เซนต์ของคนไทยที่ใช้เฟซบุ๊กทั้งหมดซึ่งมีประมาณ
13,276,200 คน
แต่ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศอาหรับซึ่งเริ่มจากประเทศตูนิเซีย
ซึ่งประชาชนสามารถใช้โซเชียลมีเดียเพื่อช่วยในการรวมตัวกันโค่นล้มผู้นำซึ่งอยู่ในอำนาจนาน
23 ปี จากนั้นประชาชนในประเทศอาหรับประเทศอื่น เช่น
อิยิปต์ แอลจีเรีย เยเมน บาห์เรน และจอนดอน
ก็ลุกขึ้นมาประท้วงความไม่เป็นธรรมของผู้นำในการปกครองบริหารประเทศหลายปี
ในประเทศเหล่านี้ ประชาชนเหล่านี้อาจมีความรู้สึกไม่พอใจรัฐบาลมานาน
แต่ไม่มีช่องทางในการแสดงออกความรู้สึกไม่พอใจหรือในการรวมตัวกัน
เห็นอกเห็นใจกัน และช่วยกันแสดงพลัง
โซเชียลเน็ตเวิร์คผ่านเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้การประท้วงต่อต้านผู้นำที่เป็นเผด็จการของประเทศเหล่านี้ได้สำเร็จ
2.2 กลุ่มสังคม
กลุ่มสังคมในไทยโดยเฉพาะกลุ่มพลังสังคมในเชิงบวกได้พยายามใช้โซเชียลมีเดียในการปลุกกลุ่มคนไทยให้มีจิตอาสามากขึ้นหรือในการรวมตัวกันในการทำงานเพื่อสังคมของคนที่ีมีจิตอาสา
อาทิเช่น
https://www.facebook.com/SiamArsa
กลุ่มอาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย ซึ่งมีเฟซบุ๊กเพจที่คนคลิก
like ประมาณ 110,000 คนและมีคนติดตาม 33,000 คนทางทวิตเตอร์
https://www.facebook.com/PositiveNetwork
กลุ่มเครือข่ายพลังบวก ซึ่งมีเฟซบุ๊กเพจที่คนคลิก
like ประมาณ 23,000 คนและมีคนติดตาม ผ่านทวิตเตอร์
หรือล่าสุดจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมีส่วนอย่างมากในการทำให้พลังประชาชนมีส่วนในการเข้าไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนคนอื่น
นอกจากมีการรวมตัวอาสาสมัครผ่านกลุ่มสยามอาสา ก็มีการสร้างกลุ่ม
thaiflood https://www.facebook.com/thaiflood
ทั้งบนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ที่ให้ทั้งความรู้ สิ่งของ
และความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย
2.3 การค้าและเศรษฐกิจ
บุคคลที่เป็นตัวอย่างในการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการค้าและเศรษฐกิจได้ดีคือคุณตัน
ภาสกรนท ซึ่งเป็นคนที่มีเฟซบุ๊กเพจที่มีจำนวนคนคลิก like
มากที่สุดในประเทศไทย มากยิ่งกว่าเฟซบุ๊กเพจของดารา ศิลปิน
หรือนักการเมือง คนตันมีเฟซบุ๊กเพจที่มีคนคลิก like
1,082,053 คน ซึ่งคุณตันใช้เพจประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทคุณตัน
ในบรรดาธุรกิจต่างๆ
พบว่าธุรกิจอาหารมีการสร้างเฟซบุ๊กเพจและมีคนเข้าไปคลิก
like และติดตามข่าวเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น Oishi New
Station ซึ่งมีคนคลิก like ประมาณ 500,000 คน รองลงมาคือ
LaysThailand, และ McDonald Thai ซึ่งมีคนคลิก like ประมาณ
200,000 คน
ธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่ประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางทางโซเชียลมีเดีย
คือ ธุรกิจทางด้านไอทีและเทเลคอม เช่น BlackBerry Thailand
มีคนคลิก like ประมาณ 400,000 คน DTAC มีคนคลิก like ประมาณ 300,000
คน และ AIS มีคนคลิก like ประมาณ 200,000 คน
2.4 กลุ่มธรรมะ
เฟซบุ๊กเพจของท่าน ว. วชิรเมธี https://www.facebook.com/v.vajiramedhi
มีคนเข้ามาคลิกชอบประมาณ 700,000 คน
ทวิตเตอร์ของท่าน ว. วชิรเมธี http://twitter.com/#!/vajiramedhi
มีคนตาม 440,000 คน นอกจากนี้ มี
พระท่านอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่พยายามใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแพร่ธรรมะ
อาทิเช่น หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ https://www.facebook.com/buddhadasaarchives
ซึ่งมีคนคลิ like ประมาณ 37,000 คน
พระไพศาลที่ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการเผยแพร่ธรรมะ
https://www.facebook.com/visalo
มีคนคลิก like ประมาณ 30,000 คน
พระอาจารย์มิตซูโอะ https://www.facebook.com/aj.mitsuo.gavesako
มีคนคลิก like ประมาณ 20,000 คน
2.5 กลุ่มสุขภาพ
มีกลุ่มนมแม่ http://www.facebook.com/thaibreastfeeding
ซึ่งมีคนคลิก like 6,000 คน กลุ่ม rainbow room
เพื่อสนับสนุนและให้ความรู้พ่อแม่ที่มีลูกที่มีความต้องการพิเศษ เช่น
ลูกที่เป็นออทิสติก https://www.facebook.com/specialrainbow
ซึ่งมีคนคลิก like ประมาณ 1,600 คน กลุ่มเฟซบุ๊กเพจ
สสส https://www.facebook.com/thaihealth
ซึ่งมีคนคลิกประมาณ 9,000 คน
2.6 กลุ่มการศึกษานอกระบบ
มีทวิตเตอร์ของคุณ andrew biggs ซึ่งมีคนตาม 160,000 คน
มีเฟซบุ๊กเพจของ English Breakfast ซึ่งมีคนคลิก like
ประมาณ 15,000 คน
=======================================================
3. ข้อดี
ข้อเสียของระบบโซเซียลเน็ตเวิร์คที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบัน ปัญหา
และทางออก
ข้อดี
1. การสื่อสารข้อมูลไปสู่ผู้คนเป็นจำนวนมากทำได้รวดเร็ว สะดวก
และง่าย
2.
ช่องว่างการสื่อสารระหว่างนักการเมืองหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงกับ
คนธรรมดาทั่วไปน้อยลง
สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรง
3. ทำให้เกิดการรวมตัวกันในการทำกิจกรรมดีๆ
ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
4.
เป็นช่องทางที่ดีในการหางานทำหรือได้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานด้วย
5. สามารถใช้เพื่อการเรียนการสอนได้
เพราะนักเรียนและนักศึกษามักจะออนไลน์บนเฟซบุ๊ก
สไลด์แนะนำการใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอนที่ http://www.slideshare.net/krunapon/ss-7320394
ข้อเสีย
1.
ไม่มีวิธีการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นจริงหรือไม่
2.
หลายคนไม่ระวังการใช้โซเชียลมีเดียซึ่งทำให้หลายคนได้ข้อมูลที่ไม่เป็นสาระ
หรือเป็นข้อมูลเชิงลบ เช่น การโพสต์ด่าว่าคนอื่น
ปัญหา
1. หลายคนมักโพสต์ข้อความที่ไม่สุภาพ ไม่เป็นจริง
หรือมีผลกระทบผู้อื่นในทางลบ
ซึ่งอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
2.
หลายคนมักโพสต์ข้อมูลส่วนตัวซึ่งผู้อื่นอาจจะใช้ข้อมูลนั้นในทางที่ไม่เหมาะสม
โดยเฉพาะ ดารา ศิลปิน
หรือบุคคลสาธารณะควรจะระมัดระวังให้มากในการโพสต์อะไรก็ตามที่
นักข่าวอาจจะเขียนเป็นข่าวได้
แนวทางแก้ปัญหา
- พยายามใช้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์
สไลด์การใช้เฟซบุ๊กอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์
ซึ่งสามารถดูได้ที่ http://www.slideshare.net/krunapon/ss-7311643
เช่น ใช้รหัสผ่านที่เดายาก ใช้ https
เพื่อไม่ให้ผู้อื่นลักลอบดูข้อมูลที่เราโพสต์
คิดให้ดีก่อนที่จะโพสต์อะไร
ถ้าอะไรที่คิดว่าโพสต์แล้วทำให้คนใดคนอื่นเสียใจหรือเดือดร้อน
อย่าโพสต์
อ้างอิง
1. http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9540000162591
2.
http://www.psychologytoday.com/blog/the-moral-molecule/201103/why-social-media-is-driving-political-change-in-the-arab-world
3. http://www.readwriteweb.com/archives/study_more_than_15_of_workers_got_hired_through_social_networks.php