การเพาะชำกล้าไม้ในฤดูหนาวนี้


เทคนิคที่ว่าคือการเข้าใจในสภาพของต้นไม้ และสภาพภูมิอากาศของแต่ละฤดูกาล

การเพาะชำกล้าไม้ห้วงฤดูหนาว

ที่มา ในห้วงเดือน สิงหาคม ถึงเดือน กันยายน ซึ่งเป็นห้วงเก็บเกี่ยวลำไยตามธรรมชาติของทางเหนือ หลังเก็บเกี่ยวลำไยเสร็จหลายสวนหารายได้เพิ่มเติมขึ้นจากการตอนกิ่งลำไยเพื่อขยายกิ่งพันธุ์ ในขณะที่ส่วนใหญ่ตัดแต่งกิ่งทิ้ง เกษตรกรมือใหม่หลายคนถามถึงเทคนิคการทำกิ่งตอนลำไย ว่าเมื่อกิ่งตอนติดรากแล้วทำอย่างไรจะนำมาปักชำในถุง หรือปิ๊บ เพื่อเป็นกิ่งพันธุ์สำหรับขาย โดยมีความสูญเสียน้อยที่สุด (โดยปกติการย้ายกิ่งตอนลงปลูก หรือ ชำในถุง จะมีเปอร์เซ็นต์การตายสูงมาก)โดยเฉพาะในฤดูหนาวเช่นนี้

เทคนิคที่ว่าคือการเข้าใจในสภาพของต้นไม้ และสภาพภูมิอากาศของแต่ละฤดูกาล

กิ่งตอน ที่ติดรากในฤดูนี้การจะนำมาเพาะชำในถุง หรือ นำลงปลูกในดินทันทีเลยก็ตามก็ต้องล้วนใช้หลักการที่ขอสรุปให้นี้ ซึ่งล้วนเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมทั้งสิ้น

-กิ่งตอน ก่อนตัดลงจากต้นต้องริบใบออกครึ่งหนึ่ง ทำก่อนตัด 1-2 สัปดาห์ (น่าจะอธิบายได้ว่า การริบใบออกจะช่วยให้การสูญเสียน้ำน้อย และช่วยให้ตาข้างแก่พร้อมที่จะแทงเป็นยอดใหม่ไวขึ้น นั้นเอง)

-หลังจากตัดกิ่งตอนจากต้น นำมาวางนอนในที่ร่ม อาจปู และ คลุมด้วยกระสอบปาน รดน้ำเพิ่มความชื้น เป็นระยะเวลา 3-4 วัน วิธีการนี้เรียกว่า “การทำให้ลืมต้น” (เช่นเดียวกับการเก็บลูกไม้จากต้นสดๆ จะหวานสู้ลูกไม้ที่เก็บทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งแล้วไม่ได้ อีกประการการทำให้ลืมต้นเป็นการเตือนกิ่งตอนนั้นว่าขณะนี้ต้องเร่งออกราก หากินด้วยต้นเอง เพราะไม่มีอาหารจากรากต้นแม่ส่งมาเลี้ยงอีกแล้ว) อนุมานได้ว่าการทำวิธีการที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางอินทรีย์เคมีภายในของของกิ่งพืชทำให้การตายน้อยกว่าวิธีการปลูกด่วนแบบทันทีทันใด

-หลังจากการพักกิ่งให้ลืมต้นก็ถึงเวลาการนำกิ่งพันธุ์มาชำในถุง โดยการใส่ดินให้เต็มถุง รดน้ำให้เปียก ก่อน ขุดหลุมและนำกิ่งปลูกภายหลัง ได้ผลในแง่ทำให้การตายน้อยกว่าการปลูกแบบที่ใส่ดินครึ่งถุง วางกิ่งพันธุ์ แล้วใส่ดินอีกครึ่งหนึ่ง อัดให้แน่น และรดน้ำ วิธีการหลังเมื่อรดน้ำแล้วจะไม่เปียกไปถึงรากของกิ่งพันธุ์ที่นำมาชำ ทำให้เกิดการตายมาก

-หลังปลูกหากต้นโอนเอนใช้หลักยึดให้แน่น ริบใบออกให้มาก เหลือเฉพาะใบแก่ เพื่อรดการคายน้ำ วางให้ชิดกัน รดน้ำให้ชุม และใช้ผ้าพลาสติกคลุมไว้ เพื่อป้องกันการคายนำ และลดการสูญเสียความชื้นในอากาศ ช่วยไม่ให้ใบพืชร่วง การติดรากดี และการตายน้อยมาก

-ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินที่มีคุณค่าทางอาหารแต่น้อย เช่น ดินดำ ดินขุยไผ่ และควรผสมมูลสัตว์แต่น้อยอัตรา 10 ต่อ 1 ก็เพียงพอ รากพืชที่อ่อนแอหากอยู่ในสภาวะที่มีอินทรียวัตถุมาก ความชื้นสูง ก็จะเน่าเสียหายได้มาก กว่าการปลูกในดินปกติ

-เมื่อปลูกไปได้ 2-3 อาทิตย์สังเกตใบพืชไม่ร่วง อาจมียอดใหม่เริ่มแทง ให้เริ่มเปิดคลี่ปากถุง พลาสติกออกที่ละน้อย ไม่รีบคลี่ซึ่งอาจทำให้พืชซ็อกได้ เมื่อคลี่ถุงไว้ 1-2 สัปดาห์ พืชจะเริ่มออกยอดให้มากขึ้นจึงค่อยๆแกะถุงออกทั้งหมด นำกิ่งชำที่ได้ไปอนุบาลต่อจนติดรากเต็ม และสมบูรณ์มีใบแตกใหม่อย่างน้อย 3-4 ชุด จึงนำมาขายได้

วิธีการที่กล่าวมาดีในแง่ที่ไม่มีการใช้สารเคมี หรือ ฮอร์โมนใดๆในการเร่งการติดราก ทำให้ลดการสูญเสีย จากการตายของกิ่งตอนที่นำมาลงเพาะชำได้มาก หรือ แทบไม่มีการตายเลย

ครูเกษตรรุ่นก่อนสอนนักศึกษา ว่าแค่ 5 รู้ก็เป็นเกษตรกรมืออาชีพได้ คือ รู้ใจฟ้า รู้ใจดิน รู้ใจน้ำ รู้ใจพืช รู้ใจคน ก็คงเป็นจริงแท้แน่นอนดังว่า คุณเห็นด้วยไหมครับ?

หมายเลขบันทึก: 471107เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2011 10:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2014 20:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขออีก รู้ นึงนะครับ รู้ใจตน ด้วยท่าจะดีนะ

ที่อยากเพิ่มจริง ๆ เพราะเจอมากับตัวเอง คือต้องรู้ใจโรคและแมลงศัตรูพืชด้วย ^^ เห็นด้วยมั้ยคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท