การเคารพในความเป็นฅนของแต่ะบุคคล การเคารพในความคิดต่างจากเรา การเคารพในการตัดสินใจเลือกของเขา นั่นคือพื้นฐานของการทำความเข้าใจตัวเองและเคารพเพื่อนรอบข้าง
นั่นคือเขา นั่นคือสิ่งที่เขาเลือก ถึงแม้มันจะไม่ถูกใจเรา แต่ก็ถูกใจเขา ถ้าการเลือกของเขาถูกต้องจงยินดีในความถูกต้องของเขา แต่ถ้ามันจะผิดพลาด นั่นก็คือการตัดสินใจเลือกของเขา และเขาก็จะเกิดการเรียนรู้ขึ้นมาเอง เราทำได้เพียงชี้แนะด้วยท่าทีที่เอื้อต่อการเลือกตัดสินใจ ไม่ใช่ให้เลือกอย่างกดข่ม ข่มทับว่า เธอต้องเลือก เธอต้องเชื่อ เพราะฉันซึ่งดูเหมือนมีวุฒิภาวะมากกว่ามีความเชื่ออย่างนี้
ฉันไม่ได้เสนอแนวคิดที่ว่า จงละลายตัวเองจากฐานความเชื่อตัวเองทิ้งเสียเถิด แล้วจงมาประมวลความเชื่อจากหลักฐานต่างๆ ที่ชี้นำ แต่มันอยู่ที่ตัวเราเองจะเปิดใจยอมรับซ้อนทับความเชื่อส่วนตัวเดิมของเราได้หรือไม่ว่า ความเชื่อเดิมๆ ของเรานั้นอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ความเชื่อเดิมของเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเมื่อมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ความเป็นจริงถูกต้องและยืนยันได้ว่า นี่คือความเชื่อที่ชัดเจนโดยไร้ข้อกังขา ซึ่งนั่นความเชื่อชุดเดิมก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเลย คือยกออกทั้งความเชื่อนั้นไปเลย หรือ อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เชื่อหนักแน่นมากขึ้น เพราะมีข้อมูลอ้างอิงโน้มน้าวใจเราให้เชื่อหนักแน่นมากขึ้น นั่นคือความเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งใน ๒ ด้าน
ยึ่งความเชื่อเดิมนั้นสามารถพิสูจน์ได้จริงในทางวัตถุ ยิ่งสามารถยืนยันความเชื่อให้หนักแน่นได้มากขึ้นและเสมือนไม่มีความรู้สึกหน่วงภายในใจว่า ใช่หรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ โดยที่ไม่ใช่อยู่ในฐานความเชื่อที่พิสูจน์ได้เพียงจากคำพูด คำบอกเล่า ที่ว่าต่อๆ กันมา อย่างกาลครั้งหนึ่งเขาเล่าว่า แล้วเราก็เชื่อเรื่องเล่านี้อย่างสนิทใจ เพราะ กาลครั้งหนึ่งเขาเล่าว่า
ฉันเชื่อในกฏแห่งกรรม เพราะกรรมเกิดจากการปฏิบัติ การปฏิบัติก็เป็นต้นเหตุให้เกิดผลต่อการกระทำ แต่การปฏิบัตินั้นก็กระทำบนพื้นฐานความเชื่อของแต่ละบุคคลเช่นกัน ในที่สุดมันก็หมุนวนย้อนกลับมาที่ตัวตนของแต่บุคคล มันไม่ได้หนีหายไปไหนจากตัวตนเลย
ดังนั้นลองมองย้อนกลับมาที่การกระทำ การตัดสินใจเลือกของตัวตน ลองย้อนกลับมาพิจารณาการกระทำของตนเอง และเคารพการตัดสินใจเลือกของตนเอง ถึงแม้จะถูกหรือผิด เราได้เลือกตัดสินใจเลือกไปแล้ว และเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บนพื้นฐานของการยอมรับ เรียนรู้ความผิดพลาดของตัวตน นั่นไม่ใช่การกล่าวโทษตัวเองให้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
ฉันเขียนบทความนี้เพื่อทบทวนตนเองเช่นกันว่า ความเชื่อของฉันนั้นได้ปะทะอะไรกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้หรือไม่ ได้เรียนรู้อะไรกับความเชื่อที่กำลังแผ่ขยายพลังอย่างมากในสังคม ถ้ากระทบใครต้องขออภัยด้วย มันเพียงเสียงสะท้อนจากน้ำหยดหนึ่ง
นฤมล จันทรศรี
29 พ.ย.'54
ไม่มีความเห็น