วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ภาคบ่าย... ผมขออนุญาตพี่ ๆ ที่อนามัย... ขอไปร่วมงานศพญาติของ อสม. ที่วัดภายในหมู่บ้าน
เมื่อไปถึง...ส่วนใหญ่ก็พบเจอแต่คนที่รู้จัก...คุณครู...ผู้นำชุมชน...อสม... และผู้ที่เคยมาใช้บริการที่อนามัย
และเนื่องจากผู้วายชนม์เป็นคุณครูเก่าแก่ในหมู่บ้าน...แขกจากพื้นที่อื่นจึงมาร่วมงานค่อนข้างมาก
มากกว่าคนในหมู่บ้านด้วย...เพราะช่วงนี้ ชาวบ้านกำลังเกี่ยวข้าว
เป็นที่น่าสังเกตว่า...ที่นี้เขาจะแยกกลุ่มผู้ชาย และผู้หญิงส่วนใหญ่... ออกจากกันคนละศาลา และผู้หญิงอยู่ศาลาเดียวกับพระที่ทำพิธีกรรม นั่งบนเสื่อ ...ส่วนผู้ใหญ่อยู่อีกศาลาถัดไป...นั่งบนเก้าอี้
ผมเจอกับคนที่ผมอยากพบ ทั้งที่ไม่น่าได้พบ เช่น ท่านอาจารย์ดนัย ไกรศักดิ์ มานะศิลป์ ท่านมีชื่อกลางด้วยครับ เป็นอาจารย์ผู้บุกเบิกโรงเรียนประจำอำเภอของผม...ซึ่งผมจะเขียนสารคดีชีวิตของท่าน 1 ใน 5 ของบุคคลที่น่าจดจำของอำเภอ ผมเข้าไปทักทาย และบอกวัตถุประสงค์ที่จะเข้าไปพบท่านในไม่ช้านี้ครับ
อีกท่านหนึ่งที่ผมอยากพบ และน่าจะได้พบ คือ ปู่สอน กล้าศึก...ผู้ปลูกต้นไม้ในใจทุกคน...ด้วยการแต่งกายที่ไม่เหมือนใครในงานศพ ปู่สอนสวมเสื้อแขนยาวสีขาว นุ่งโสร่งสีลายสก๊อต แต่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตน .. เพราะปู่ไม่เหมือนใคร...ผมจึงมองเห็นได้ง่าย...ผมเข้าไปทักทาย...ปลูกถึงการปลูกต้นไม้...น้ำท่วมกรุงเทพ...ธรรมชาติ ...ธรรมะ...และปู่เล่าถึง...การข้ามไปยัง....ยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งผมน่าจะเขียนได้สักอีกบันทึกครับ
เด็กมากมายเต็มลานวัด มาดื่มน้ำอักลม และรอการหว่านกัลปพฤกษ์ งานศพ คุณครูคงหยุดภายบ่าย เพราะผู้วายชนม์เป็นคุณครูเก่าแก่ในหมู่บ้าน
พระสวดธรรมะเสร็จสิ้น...มีการวางผ้าไตร ซึ่งแปลกตาจากงานศพอื่น ๆ เพราะผู้ที่ถวายผ้าไตร ไม่ต้องขึ้นเมรุ และไม่ต้องนิมนต์พระขึ้นรับด้วย...แต่มีพิธีที่หน้าเมรุ และมีผ้ายาว ๆ ต่อด้วยสายสิญจน์ เชื่อมถึงพระสงฆ์ที่ศาลา…แขกผู้มีเกียรติถวายผ้าไตร ชุดละ 9 ท่าน น่าจะประมาณ 60 ท่าน
ท่านผู้มีเกียรติอีกท่าน ขึ้นถวายผ้าไตรรอง และนมัสการผู้สงฆ์ทำพิธีที่บนเมรุ (ขออภัยนะครับ ถ้าผมใช้คำไม่ถูกต้องครับ)
ต่อมามีพิธีการอ่านประวัติผู้วายชนม์ ด้วยน้ำเสียงของพิธีกร ทำให้ญาติ ๆ และแขกเหรื่อน้ำตาซึมไปตามกัน
แล้วก็เรียนเชิญทุกท่าน ร่วมไว้อาลัยและขออโหสิกรรมให้กับผู้วายชนม์
จากนั้น ท่านผู้มีเกียรติอีกท่าน ขึ้นวางผ้ามหาบังสุกุล และดอกไม้จันท์
และนมัสการพระสงฆ์ขึ้นวางดอกไม้จันท์
พิธีกรเชิญแขกผู้ชายขึ้นเมรุทางทิศเหนือ...ผู้หญิงทิศใต้...ตอนลงจากเมรุค่อยมาลงบันไดทิศเดียวกัน
สุดท้าย...มีการจุดพลุ...ผู้คนต่างแยกย้าย...ยกเว้นญาติสนิทมิตรสหายที่มีพิธีอำลาครั้งสุดท้าย....
.........................
มาถึง...ทฤษฎีอโหสิกรรม...โมเดลนำไปสู่สุคติ...อันเป็นชื่อบันทึกนี้
ผมคิดว่า...เมื่อเราอโหสิกรรมให้กันและกัน...มอบดอกไม้จันท์... โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่จะได้พบเจอกัน...ทำให้ผู้มีชีวิตอยู่มีความสุข และปล่อยวางมาก โดยเฉพาะยิ่งถ้าเรามีความรู้สึกไม่ดีกับผู้ตาย...และผมคิดว่า...ผู้ตาย ก็คงน่ามีความรู้สึกสุคติยิ่งนัก
แต่ในกรณี...ที่เราให้อโหสิกรรมให้กับคนที่เรารู้สึกไม่ดี...และต่างคนต่างยังมีชีวิตอยู่...คงทำได้ยากเย็น...แต่ถ้าเราทำได้...ต้องมีความสุขมากนัก...โดยเฉพาะความสุขที่เกิดขึ้นจากผู้ให้อโหสิกรรม
ผมว่า พระพุทธเจ้า...คงดลบันดาลให้ผมค้นพบทฤษฎีนี้...อาจจะเป็นการไขทฤษฎีเล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงในการไขทฤษฎีแม่ของท่านพระพุทธเจ้า
บางครั้งผมอดคิดว่า...ทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ของโลก...หรือนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลค้นพบ...ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์...ซึ่งไปพิสูจน์ ณ แห่งใด ของโลก...ต้องได้ผลลัพธ์เชื่อมั่นเช่นเดิม
ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า...นอกจากจะนำไปพิสูจน์ ณ แห่งใด ของโลก...ต้องได้ผลลัพธ์เชื่อมั่นเช่นเดิม นอกจากนั้น ผมว่า มีความเป็นจริง เป็นเหตุเป็นผล และความเป็นธรรมชาติ
และที่สำคัญ....ต้องศึกษาที่เฉพาะเจาะจงกับเรื่อง “ใจ” ที่มีขนาดเล็ก ๆ เท่ากำปั้น
แต่อาณาเขตกลับ...ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก....จักรวาล
สำหรับผม...
คงใช้เวลาอีกนาน...หรือไม่มีโอกาสเลยชั่วชีวิต
แต่ขอให้เวลาและใจได้เรียนรู้นะครับ....
..อโหสิกรรม..คือ..การให้อภัย..ไม่จองเวร..จองกรรม..ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า(อาจจะหมายถึงอดีตและอนาคต)..เป็นอภัยทาน..ทานอันยิ่งใหญ่คือละลดโมหะ..แห่งจิต...(เวลามีอยู่กับใจมีโอกาศเรียนรู้ทุกรูปทุกนาม..อ้ะ..ยายธีแอบคิด)..คุณทิมดาบ..สบายดี..นะเจ้าคะ..ยายธีค่ะ
อืมผมว่าน่าจะเป็น
r2r.แบบข้ามภพข้ามชาติเลยนะครับ
การอโหสิกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน.
ทำแล้วดี รู้สึกปลดปล่อยอะไรหนักๆออกไป