ยุทธศาสตร์การเผยแผ่พุทธศาสนา ตอนจบ


โอกาสเป็นการท้าทาย 

          ในการไปพูดที่ไหนครั้งแรก เราไม่ต้องไปหวังว่าจะต้องสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ท่านเป็นนักพูดที่ดีขนาดไหน ถ้าท่านไปเวทีใหม่ ๆ เป็นครั้งแรก เช่น ท่านไปสอนในต่างประเทศปีแรก ท่านอย่าไปหวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าเป็นการเปิดตัว เป็นการสร้างโอกาสและแก้ไขปรับปรุงตัว ข้อสำคัญ คือโอกาสนั้นเป็นการท้าทาย รับงานใหม่ให้มาก งานท้าทายเรา และให้โอกาสเรา ตรงนี้เรียกว่าทำวิกฤตให้เป็นโอกาส ผมจะพาตัวเองเข้าไปหาโอกาสหรือวิกฤตต่าง ๆ เสมอ บางทีถ้าเป็นงานที่ยากและท้าทาย ผมจะรับพูด งานที่ยากสำหรับผม เช่น การประชุมนานาชาติ บางทีสหประชาชาตินิมนต์มาผมก็ไป เคยไปพูดที่อียิปต์ ซึ่งเป็นงานท้าทาย ตอนนั้นมีการประชุม เรื่อง ประชากรและการพัฒนา (Population and Development) ผู้จัดนิมนต์พระไทยไปรูปเดียวจากเมืองไทย อียิปต์เป็นประเทศอิสลาม ไม่ให้พระเข้าประเทศ คนเข้าประชุมประมาณ ๑๔,๐๐๐คน พอหนังสือนิมนต์มา ผมลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (Bangkok Post) รายงานว่าตอนนั้นมุสลิมหัวรุนแรงในอียิปต์ประกาศว่าถ้าใครมาประชุมจะยิงให้ ตายหมด ทำไมมุสลิมหัวรุนแรงถึงจะยิงคนที่ไปประชุม ได้ความว่า เพราะการประชุมนี้สนับสนุนการคุมกำเนิด


          การคุมกำเนิดขัดกับ พระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ แล้วสั่งว่าจงแพร่หลายต่อไป การคุมกำเนิดถือว่าขัดพระประสงค์ในคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (Old Testament) ซึ่งอิสลามนับถือมาก เขาจึงแพร่หลายเกิดเอาเกิดเอาในประเทศไทย ส่วนพุทธถือ อพราหมจริยา เวรมณี คุมกำเนิด พูดแบบอิสลามก็คือ ใครมาพูดเรื่องคุมกำเนิดยิงให้ตายหมด ผมจะให้ไปเผยแผ่ที่นั่นก็มีสิทธิ์ถูกยิงตาย ต่อมา มีข่าวว่าตอนนั้นเขาจับพวกหัวรุนแรง ๔๐๐ คนเข้าคุกแล้ว ปลอดภัยดี ผมก็ตกลงไป พอไปถึงอียิปต์ ตำรวจคุ้มกันตั้งแต่สนามบิน นี่คือการใช้วิกฤตเป็นโอกาส

วิเคราะห์ตัวท่านเอง

 
          ที่ผมพูดมานี้เป็นการใช้ สวอท อนาลิซิส (SWOT Analysis) กับตัวเอง จุดแข็งของท่านอยู่ตรงไหนในการเป็นนักเผยแผ่? จุดอ่อนของท่านอยู่ตรงไหน? ปิดตรงนั้น ผมเล่าแล้วว่าจุดอ่อนของผมอยู่ที่ความคิดเป็นนามธรรมมาก ผมแก้ด้วยการ
          ๑. ใช้สื่อ
          ๒. พูดให้เห็นภาพ
          ๓. ใช้เรื่องเล่าประกอบ
          บางท่านมีจุดอ่อนคนละแบบกับผม อาจไม่ต้องใช้วิธีของผม แต่ท่านต้องหาอุปกรณ์มาช่วย


          ข้อ ที่ผมใช้มากคือเรื่องโอกาส (Opportunity) เราต้องหาโอกาสพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไปพูดในเรื่องที่เราไม่เคยพูดบ้าง เข้าไปในดินแดนที่ท้าทาย ลองดูว่าเราจะสร้างความสามารถใหม่ขึ้นได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น ลักษณะบุกเบิกทำให้ผมเผยแผ่ไม่หยุดและก็ไม่ตกยุค บางท่านดังขึ้นมาสักระยะหนึ่งคือดังอยู่ยุคหนึ่ง แต่ก็มีคนอื่นขึ้นมาแทน เรียกว่าล้าสมัยไปเพราะไม่แสวงหาโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง ผมต้องแสวงหาความรู้ใหม่ความคิดใหม่และ วิธีการใหม่ตลอดเวลา และรู้ว่าสิ่งที่คุกคาม (Threat) ของเราคืออะไร


          ถ้าท่านไม่ ก้าวไปข้างหน้า คนอื่นจะแซงท่านไป ในการเผยแผ่ เช่น คนรุ่นใหม่พูดภาษาอังกฤษดีกว่ารุ่นเรา เขาเรียนเอกอังกฤษ มีสื่อเยอะกว่ารุ่นผมเรียนภาษาอังกฤษ สมัยนี้มีทั้งเทปวีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ


          รุ่นหลังต้องเก่งภาษาอังกฤษกว่า รุ่นผม ต้องดีกว่า และก็ดีกว่าจริง ๆ ในมหาจุฬาฯ ผมเห็นบางรูป พูดภาษาอังกฤษดีกว่าสมัยผมอายุเท่าเขา นี่คือคลื่นลูกใหม่ เพราะโอกาสในการเรียน เพราะสื่ออุปกรณ์ดีกว่า การเผยแผ่หรือการเทศน์ก็เหมือนกัน เราต้องหาทางพัฒนาบุกเบิกทำงานตลอดไป



ไม่สันโดษในการทำดี

          พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าไม่ให้ สันโดษในการทำความดี ไม่ให้พอใจ กับความสำเร็จครึ่ง ๆ กลางๆ กุสเลสุ ธมฺเมสุ อสนฺตุฏฺฐิตา เมื่อทำอะไรอย่าทำเหยาะแหยะ ต้องทำให้สำเร็จ ให้รู้กันไปข้างหนึ่งว่า ระดับเราหรือจะทำไม่ได้ นั่นคือข้อแรก ไม่สันโดษในกุสลธรรม ข้อที่สอง อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ ไม่ท้อถอยในการบำเพ็ญเพียร อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ ไปที่ไหนก็ตาม เราจะมีเวทีใหม่ มีแนวรบใหม่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศ หรือต่างประเทศ จบหลักสูตรธรรมทูตแล้ว ให้ทำงานอย่าง มีมรรคมีผล ไม่เหยาะแหยะ เอาจริงเอาจัง ในขณะทำงานนั้นพัฒนาตนเองไปด้วย สร้างโอกาสไปด้วย หาจุดอ่อนแล้วแก้ไขให้ได้ และเราจะขึ้นเป็นแชมป์ได้ ไม่ท้อถอยในการบำเพ็ญเพียร และในการทำความดี “ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้าดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่” หลวงตา แพร-เยื่อไม้พูดไว้นานแล้ว เราจะได้มีโอกาสแก้ไข ปรับปรุงตนเอง และพัฒนาตนเองตลอดเวลา วิเคราะห์ตัวเองให้พบว่า อะไรคือจุดแข็ง แล้วใช้จุดแข็งนั้นเป็นตัวนำ


          ทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อน ถ้าผมวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของนักเผยแผ่ จะมีอยู่สี่ประเด็นที่เอามาใช้วิเคราะห์เสมอก็คือสี่ ส. ผมเอาคำนี้ไปใช้ในระบบการศึกษาของชาติ คือการสอนโรงเรียนทั่วประเทศ ใช้ตรงนี้เป็นจุดวิเคราะห์ ผมเรียกว่า ทฤษฎีสี่ ส. ซึ่งผมใช้อบรมครูทั่วประเทศดังนี้


          ๑. สัททัสสนา (แจ่มแจ้ง) คือพูดให้คนฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเหมือนเห็นกับตาตัวเองถ้าจะพูดบรรยายให้ได้ ขนาดนี้ นักพูดต้องเข้าใจชัดเจนในเรื่องที่ตนเองจะพูด อย่าพูดในเรื่องที่ตนเองไม่เข้าใจคือท่องไปพูด อย่าพูดในเรื่องที่ตนเองก็ไม่รู้ ตรงนี้แหละที่จะบอกว่าการที่จะเป็นนักเขียนที่ดี ท่านจะต้องอ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม การที่จะเป็นนักพูดที่ดี ท่านจะต้องฟังมาหลายร้อยหลายพันชั่วโมง นี่คืองานที่ท้าทายความสามารถของเรา และเราจะต้องพยายามทำให้ได้ นักพูดที่พูดได้แจ่มแจ้งนั้น สามารถที่จะทำให้ผู้ฟังทุกระดับเข้าใจได้ เมื่อคนฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าจบลงแต่ละครั้งจะมีผู้ชมในตอนท้ายว่า “อะภิกกันตัง อภิกกันตัง แจ่มแจ้งนัก พระองค์ผู้เจริญ แจ่มแจ้งนัก พระองค์ผู้เจริญ เทศนาของพระองค์นั้น เหมือนกับหงายของที่คว่ำ จุดประทีปในที่มืด บอกทางแก่คนหลงทาง”


          ๒. สมาทปนา (จูงใจ) ปลุกใจให้อยากรับธรรมไปปฏิบัติ การพูดที่ดีต้องทำให้ผู้ฟังเกิดศรัทธา มีผลในทางเปลี่ยนเจตคติหรือพฤติกรรมของคน การสอนที่ทำให้เกิดศรัทธาเรียกว่า สมาทปนาคือจูงใจให้น้อมรับเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน


          ๓. สมุเตชนา (แกล้วกล้า) บางครั้งผู้ฟังเกิดศรัทธาแต่ไม่นำไปปฏิบัติโดยอ้างว่า ทำไม่ได้รู้ว่าการเลิกเสพสุรานั้นดีแต่ทำได้ยาก โดยมากมักแก้ตัวว่า “ฉันรู้ทั้งหมด แต่ฉันอดไม่ได้” คนฟังทำตามไม่ได้เพราะขาดกำลังใจ ผู้พูดต้องให้กำลังใจด้วยการยกตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จมาประกอบในการพูด


          ๔. สัมปหังสนา (ร่าเริง) ฟังผู้พูดแล้วไม่เครียด มีความสุข สนุกในการฟัง คนพูดมีอารมณ์ขัน ยกนิทานมาประกอบในการพูด ผู้ฟังเกิดความปีติในธรรม “ธัมมะระโส สัพพะระสัง ชินาติ รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง” ฟังธรรมแล้งสบายใจเกิดความสุข


          นักพูดควรจะพูดให้ได้ครบ ๔ ส. ใครทำได้ครบ ๔ ส. ถือว่าเป็นนักพูดชั้นเอก ใครทำได้ ๓ ส. เป็นนักพูดชั้นโท ใครทำได้ ๒ ส. เป็นนักพูดชั้นตรี ใครทำได้ ส. เดียวเป็น มือใหม่หัดพูด เป็นชั้นนวกภูมิ


          ในการเผยแผ่ที่ผ่านมา ผมถามท่านว่าในสี่ข้อนี้ ข้อไหนคือจุดแข็งของท่าน ซึ่งท่านทำได้ดีที่สุด ในสี่ข้อนี้มีข้อไหนที่ท่านทำไม่ได้เป็นจุดอ่อนของท่าน

 

ทำงานเป็นทีม

          ทุกคนมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่สามารถจะแก้จุดอ่อนของเราได้เอง ต้องหาคนที่มีจุดแข็งตรงกับจุดอ่อนของเรามาช่วยสนับสนุนเรา สร้างเครือข่าย (Network) ในยุคนี้พระธรรมทูตจะอยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้ บินเดี่ยวคงยาก ถ้าท่านจะทำงานให้ประสบความสำเร็จ ท่านต้องเอาทีมมาเสริม ถ้าจุดแข็งไม่มีอยู่ในทีมของเรา ท่านต้องเอาฆราวาสมาช่วย เอาคนมาแปลธรรมเป็นภาษาอังกฤษ ใช้คนที่มีจุดแข็งมาเสริมจุดอ่อนของเรา


          ตรง ไหนเป็นจุดอ่อน ให้เอาคนอื่นมาช่วยเสริม ตรงไหนเรามีจุดแข็งเราลุยเราทำ แต่จะมีทีมมาหนุนหลัง (back up) ไม่เว้นแม้แต่งานวิชาการระดับโลก ผมไปบรรยายให้นักเทคนิคการแพทย์ฟัง ผมปาฐกถาที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์เมื่อ ๗ วันที่ผ่านมา พอผมลงมาจากเวที ศาสตราจารย์คนหนึ่งแนะนำตนเองว่าเขาทำการวิจัยเรื่องหนึ่งดังไปทั่วโลก สมาคมแพทย์ในอังกฤษส่งตั๋วเครื่องบินให้เขาบินไปกับครอบครัวเพื่อนำเสนอ เรื่องนี้ในที่ประชุม งานชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไปทั่วโลก


          ผม ถามว่าทำวิจัยเรื่องอะไร เขาบอกว่าทำวิจัยเรื่องกลิ่นตัวมนุษย์ ไม่เคยมีใครทำ วิจัยเรื่องกลิ่นตัว เขาบอกว่ากลิ่นตัวทำให้บางคนอยากฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะผู้หญิง เขาวิจัยแล้วพบว่าคนที่มีกลิ่นตัวมีข้อบกพร่องในยีนส์ คือ ดีเอ็นเอบกพร่อง


          ทำไม คนจึงมีกลิ่นตัว เขาบอกว่าในกระแสเลือดเรานี้จะมีสารอาหาร ซึ่งทำให้คนมีกลิ่นตัว สารตัวนี้ถ้าไม่ถูกทำลายจะสร้างกลิ่นตัว ท่านลองฉันทุเรียนไปเยอะ ๆ กลิ่นตัว จะเป็นกลิ่นทุเรียน ไปหมด แสดงว่าสารอาหารสร้างกลิ่นตัว คนปกติจะมีสารอย่างหนึ่งในร่างกาย ที่ออกมาจากตับช่วยกำจัดสารอาหารนั้นไม่ให้มันเข้าไปในกระแสเลือด แต่คนมีกลิ่นตัวเพราะสารตัวนี้บกพร่อง อาหารต่าง ๆ ที่สร้างกลิ่น จึงเข้าไปในกระแสเลือด และปัสสาวะ ๆ กลิ่นตัวก็จะเหม็น ผู้วิจัยคนนี้ไปเที่ยวขอปัสสาวะของคนที่สืบดูว่ามีกลิ่นตัว นำเข้าเครื่องตรวจวัด พบว่ามีจุดบกพร่องในตัวคน ถามว่าจุดบกพร่องนี้เกิดจากอะไร ในที่สุดก็สันนิษฐานว่ามาจากดีเอ็นเอ ซึ่งมีสี่ตัว ถ้าตัวที่สามหายไปก็เกิดบกพร่อง แสดงว่ากลิ่นตัวมาจากการที่ดีเอ็นเอตรงนี้บกพร่อง ต้องใช้ห้องแล็บชั้นเยี่ยมวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ในประเทศไทยก็ทำได้ เขาขอความร่วมมือนักวิเคราะห์ในห้องแล็บช่วยวิเคราะห์ดีเอ็นเอเพราะ เขาไม่มีเครื่องมือ ซึ่งต้องใช้เครื่องมือชั้นเยี่ยม ในประเทศไทยก็มีห้องแล็บอยู่แห่งหรือสองแห่ง เขาก็ส่งจดหมายไป ในต่างประเทศมีมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยม เขาส่งจดหมายไปเล่าเรื่องนี้ ขอให้ช่วยวิเคราะห์ดีเอ็นเอตรงนี้ ส่งตัวอย่างไปให้ช่วยวิเคราะห์ด้วย


          เชื่อ ไหมว่าห้องแล็บในประเทศไทยไม่เคยตอบมาเลย แต่ห้องแล็บในอเมริกาและอังกฤษตอบมาว่าเขาจะวิเคราะห์ให้ฟรีเพื่อความก้าว หน้าในทางวิชาการ เขาใช้เวลาวิเคราะห์อยู่หนึ่งปี เพราะมันซับซ้อนยุ่งยากมาก พอวิเคราะห์เสร็จส่งผลมาให้ โดยไม่เรียกร้องอะไรเลย เขาบอกว่าขอให้คุณทำวิจัยต่อไป ถามว่าทำไมฝรั่งไม่ทำวิจัยเอง ตอบว่าฝรั่งสู้เราไม่ได้อยู่อย่างคือเขาไม่มีตัวอย่างของคนที่มีกลิ่นตัว อยู่ในมือ แต่ศาสตราจารย์คนไทยนี้ได้หาตัวอย่างไว้หมดแล้ว


          นี่ คือตัวอย่างว่า นักวิจัยไทยทำงานเรื่องนี้ได้เพราะเขามีตัวอย่างไว้หมด ฝรั่งทำไม่ได้ แต่ฝรั่งมีจิตเอื้ออาทรวิเคราะห์ดีเอ็นเอให้หนึ่งปี ซึ่งถ้าไม่มีการวิเคราะห์ตรงนี้ นักวิจัยไทยไม่มีทางขึ้นระดับอินเตอร์เพราะการวิเคราะห์ดีเอ็นเอเป็นวิชาการ สุดยอด ฝรั่งยอมตรงนี้ แต่ถ้าถามว่าได้ผลวิเคราะห์มาจากไหน ตอบว่าจากอเมริกาหรืออังกฤษซึ่งทำให้ฟรี นี่คือการแลกเปลี่ยนข้อมูล ฝรั่งจึงเจริญล้ำหน้า เพราะเขาร่วมกันทำงานเป็นทีม


          ต่อไปนี้ พวกเรามาร่วมกันทำงานอย่างนี้ จะได้เจริญก้าวหน้า ท่านไปเป็นพระธรรมทูตก็เชื่อมกันเป็นเครือข่าย ใครเทศน์เก่งก็นิมนต์มาเทศน์วัดเราบ้าง แบ่งคนอื่นทำงานในสิ่งที่เรามีจุดอ่อน เราจะทำงานเป็นทีมที่สมบูรณ์ เหมือนกับงานวิจัยที่เล่ามานี้

 


          ขอคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาล ให้ทุกท่านจงประสบความสำเร็จ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรในโลกตะวันตก โลกตะวันออก เป็นที่พึ่งของคนไทยและคนทั่วโลก มีความเจริญงอกงามในร่มธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกรูป เทอญ

 


(ที่มา: บรรยายในการฝึกอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ จัดโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ พุทธมลฑล นครปฐม วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ )                            

ขอเชิญฟังปาฐกถาธรรมของพระเดชพระคุณพระธรรมโกศาจารย์  แบบ แจ่มแจ้ง-จูงใจ-แกล้วกล้า-ร่าเริง  ท่านแสดงที่วัดพุทธธรรม อิลินอยส์ สหรัฐอเมริกา  เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔

 

ถ้าคุณมีเวลาสี่นาที  ฟังตอน ลุงไม่รู้-ผมรู้

 

ถ้าคุณมีเวลาเก้านาที ฟังตอนสตีป จ็อบส์

ศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ ทำในสิ่งที่เขาศรัทธา

 

ถ้าคุณมีเวลาหนึ่งห้าสิบนาที ฟัง เก็บดอกไม้ร่วมต้น สร้างกุศลร่วมกัน 

หมายเลขบันทึก: 467041เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2011 07:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กรกฎาคม 2013 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อย่าเพิ่งรีบเชื่อว่า พระพุทธเจ้า จะ ห้ามกตัญญู ต่อผู้ให้ออกซิเจนท่านเอง และ มนุษยชาติหายใจ. นั่นคือ กตัญญูธรรม ที่พระพุทธเจ้าไม่ขาดแน่นอน มิเช่นนั้น ท่านจะหลงไปฝึกจิตให้ก่อเนรคุณขึ้นในหัวใจ. สุดท้ายก็ติดเชื้อเนรคุณออกมาทางลมหายใจออกของท่านสู่ผู้อื่นในบรรยากาศเดียวกัน.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท