การวิจัยเรื่องผลของการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ในวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนดาราวิทยาลัย ปีการศึกษา 2546
หลักการและเหตุผล
วิธีการเรียนการสอนในปัจจุบัน ไม่ว่าวิชาใด ครูมักใช้วิธีการสอนแบบบรรยายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพบว่าวิธีนี้นอกจากจะเป็นวิธีที่ซ้ำซาก ทั้งยังทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย และง่วงนอนอีกด้วย ทั้งนี้เพราะนักเรียนส่วนใหญ่แทบไม่มีส่วนรวมในการเรียนการสอนเลย แม้ครูจะใช้วิธีการซักถามประกอบการสอนก็ตาม นักเรียนก็มีส่วนร่วมน้อยมาก โดยเฉพาะการสอนคณิตศาสตร์ในระดับชั้นสูงๆ ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างเป็นนามธรรม ทำความเข้าใจยาก เนื้อหาจึงเอื้อครูผู้สอนให้ใช้วิธีบรรยายเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นการยากที่จะทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ สนใจ และตั้งใจเรียนตลอดเวลา จึงมีบางครั้งที่นักเรียนแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย ไม่กระตือรือร้นในการเรียน ครูควรใช้วิธีการสอนแบบอื่นๆ ให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในชั้นเรียนตามมา วิธีการสอน มีหลายวิธี เช่น การสาธิต การทดลอง การอธิบาย การค้นคว้า ฯลฯ ซึ่งหลักสูตรการเรียนการสอนในปัจจุบัน จะมุ่งเน้นยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ การเรียนการสอนจึงต้องปรับวิธีการให้เหมาะสมกับเนื้อหา และผู้เรียนเป็นหลัก การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีหลายวิธีเช่น การเรียนแบบทดลอง การทำโครงงาน การค้นคว้า เป็นต้น นอกจากนี้มีวิธีการหนึ่งที่เน้นการมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนของนักเรียนค่อนข้างสูง คือ การเรียนแบบร่วมมือ(Cooperative Learning) เป็นวิธีการเรียนแบบกลุ่มศึกษาด้วยกันเอง โดยศึกษาจากบทเรียนที่ครูสร้างขึ้น วิธีการนี้นอกจากนักเรียนจะได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนโดยตรงแล้ว แต่ละคนในกลุ่มยังได้ช่วยเหลือ ร่วมมือกัน คนเก่งก็ช่วยคนอ่อน จะเกิดการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหามากน้อยเพียงใด ก็อยู่ที่ปฏิสัมพันธ์ ภายในกลุ่มของนักเรียน การให้นักเรียนได้ศึกษาร่วมกัน ให้เวลาทำความเข้าใจเนื้อหา ไม่รีบเร่ง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว ยังส่งผลทำให้เกิดความเข้าใจได้ดี และแน่นแฟ้นมากขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาว่า วิธีการเรียนแบบร่วมมือ จะส่งผลต่อการเรียนการสอนของผู้เรียนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนต่อไป ชื่อผู้ทำการวิจัย อาจารย์ทัศนีย์ มโนสมุทร จุดประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่มีต่อการเรียนการสอน ในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 โรงเรียนดาราวิทยาลัย ปีการศึกษา 2546 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เป็นแนวทางนำการปรับปรุง และได้วิธีการสอนใหม่ เป็นทางเลือกที่น่าจะได้นำมาใช้ใน การเรียนการสอนต่อไป 2. นักเรียนได้มีโอกาสรู้จักทำงานเป็นกลุ่ม รู้รักสามัคคี มีวินัย แนวคิด/หลักการ/ทฤษฎี จากแนวคิด ปรัชญาของดิ้วอี้ (Dewey) นักการศึกษา, พีอาเจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์ (Bruner) นักจิตวิทยา ที่ได้เสนอแนวคิดใน ทฤษฎีการพัฒนาการของพีอาเจต์ และทฤษฎีการเรียนรู้ของบรุนเนอร์ ไว้ตรงกันว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรให้ผู้เรียนได้คิดค้นพบสิ่งต่างๆ ทดลอง และหาเหตุผลด้วยตนเอง ครูควรเป็นเพียงผู้ให้ความช่วยเหลือ และแนะนำเท่านั้น วิธีดำเนินการวิจัย1. เครื่องมือในการวิจัย1.1 บทเรียนสำเร็จรูป ประกอบด้วย- เนื้อหา (Concept) - แบบฝึกทักษะ- แบบทดสอบเตรียมความพร้อม 1.2 แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้1.3 แบบสอบถามแสดงความคิดเห็นของนักเรียน2. วิธีการ และกิจกรรมที่ใช้2.1 แบ่งกลุ่มนักเรียนในชั้นเรียน ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน2.2 แต่ละกลุ่มศึกษาจากบทเรียนสำเร็จรูป ตามขั้นตอนที่กำหนด2.3 ศึกษาร่วมกันในกลุ่ม ใช้เวลา 4 คาบเรียน2.4 ทดสอบแบบวัดผลการเรียนรู้ แยกนั่งสอบ ใช้เวลา 1 คาบเรียน2.5 ทำแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นของนักเรียน2.6 นำคะแนนผลการทดสอบวัดผลการเรียนรู้ ของแต่ละกลุ่มมารวมกัน ตัดสินผล ให้รางวัลแก่ 3 กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดของห้อง3. กลุ่มตัวอย่าง – เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนดาราวิทยาลัยจำนวน 4 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 205 คน การวิเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลจากผลการทดสอบวัดความรู้ และแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นของนักเรียน และจากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน มานำเสนอสรุปโดยวิธีการบรรยาย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตารางแสดงผลการสอบวัดความรู้เนื้อหาเรขาคณิตวิเคราะห์ (จำนวน 15 ข้อ 15 คะแนน)
ห้อง (จำนวนนักเรียน)
|
จำนวนนักเรียนที่ทำข้อสอบ
|
คะแนนเฉลี่ย
|
คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุด
|
คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มที่ทำคะแนนได้ต่ำที่สุด
|
ผ่าน
|
ไม่ผ่าน
|
ม.4/1(46 คน)
|
39(84.78%)
|
7(15.22%)
|
9.91 |
11.5 |
8.3 |
ม.4/2(50 คน)
|
-
|
-
|
12.23
|
15.0
|
9.0
|
ม.4/3(48 คน)
|
35(72.92%)
|
13(27.08%)
|
9.29 |
10.5 |
8.0 |
หมายเหตุ: ห้อง ม.4/1 และ ม.4/3 สอบเป็นรายบุคคล ห้อง ม.4/2 สอบเป็นกลุ่ม และไม่มีกลุ่มใดทำคะแนนได้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนทั้งหมด1. จากตารางคะแนนเฉลี่ย ของทั้ง 3 ห้อง จะสูงกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม (15 คะแนน) โดยที่ห้อง ม.4/2ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 12.23 รองลงมาคือ ห้อง ม.4/1 ได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 9.91 และห้อง ม.4/3 ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำสุด เท่ากับ 9.292. คะแนนเฉลี่ย ของห้อง ม.4/2 ซึ่งเป็นการทดสอบแบบกลุ่ม จะสูงกว่าห้อง ม.4/1 และห้อง ม.4/3 ซึ่งเป็นการทดสอบรายบุคคล3. คะแนนเฉลี่ย ของกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุดของแต่ละห้องพบว่า ห้อง ม.4/2 ทำคะแนนได้เต็ม 15 คะแนน รองลงมาคือห้อง ม.4/1 ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 11.5 และห้อง ม.4/3 ทำคะแนนเฉลี่ยได้ 10.54. คะแนนเฉลี่ย ของกลุ่มที่ทำคะแนนได้ต่ำสุด ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบเป็นกลุ่ม หรือทดสอบรายบุคคล พบว่าทำคะแนนได้สูงกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม นั่นคือ ห้อง ม.4/2 ได้ 9.0 รองลงมาคือห้อง ม.4/1 ทำคะแนนได้ 8.3 และห้อง ม.4/3 ทำคะแนนได้ต่ำสุดเท่ากับ 8.05. นักเรียนส่วนใหญ่ที่สอบรายบุคคล คือ ห้อง ม.4/1 และห้อง ม.4/3 จะสอบผ่านเกินครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มนั่นคือ ม.4/1 สอบผ่าน 84.78% ไม่ผ่าน 15.22% ม.4/3 สอบผ่าน 72.92% ไม่ผ่าน 27.08% ผลของความเห็นของนักเรียนต่อการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 1. นักเรียนส่วนใหญ่รู้ และเข้าใจเป้าหมายของวิธีการเรียนแบบให้ความร่วมมือว่า เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ฝึกความสามัคคีในหมู่คณะ ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แก้ปัญหาด้วยตนเอง และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นบ้าง (มีนักเรียนส่วนน้อยที่ไม่รู้เป้าหมาย และไม่แสดงความคิดเห็น)2. นักเรียนส่วนใหญ่ชอบการเรียนแบบนี้ โดยให้เหตุผลว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่เคร่งเครียด ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกัน และกัน เด็กเก่งได้ช่วยเด็กอ่อน เด็กอ่อนมีเวลาได้ทำความเข้าใจได้มากน้อยตามต้องการ ขณะเดียวกันก็ได้เด็กเก่งช่วยเหลือทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น- มีนักเรียนส่วนน้อย ไม่ชอบการเรียนแบบนี้ โดยให้เหตุผลว่า การศึกษาเนื้อหาเองไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจ เพื่อนในกลุ่มก็ไม่ได้ช่วยเหลือพึ่งพากัน เพราะแต่ละคนก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถอธิบายให้เพื่อนฟังได้- ส่วนนักเรียนที่รู้สึกเฉยๆ ให้เหตุผลว่า เข้าใจบ้าง และบางเนื้อหาไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่ และเกรงว่าศึกษาเองจะได้ความรู้น้อยกว่าที่ได้จากครูสอนเอง3. นักเรียนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือกันกายในกลุ่มดีมาก เด็กเก่งช่วยเหลือเด็กอ่อน อย่างแข็งขัน มีส่วนน้อยที่ต่างคนต่างศึกษาด้วยตนเอง และมีบางคนที่ไม่สนใจ คุยกัน และเล่นกัน4. นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่าเนื้อหาที่ได้ศึกษาเหมาะสมกับวิธีการเรียนแบบร่วมมือ ทั้งนี้เพราะเนื้อหาไม่ยาก และง่ายเกินไป สามารถเรียนรู้ และเข้าใจด้วยตนเองได้5. เนื้อหาที่นักเรียนเห็นว่าน่าจะเหมาะกับวิธีการเรียนแบบนี้ ควรจะเป็นเนื้อหาที่ไม่ยากเกินไป เข้าใจง่าย มีวิธีคิดไม่ซับซ้อน และไม่ใช้วิธีการคำนวณที่ยุ่งยากจนเกินไป มีนักเรียน 2-3 คน ที่เห็นว่า ไม่มีเนื้อหาใดที่เหมาะสม และไม่ควรใช้วิธีนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ยาก ใช่ว่าจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ6. ประโยชน์ของการเรียนวิธีนี้ นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่าวิธีการนี้- ส่งผลดีต่อการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์เอง ศึกษาด้วยตนเอง ไม่เข้าใจก็ช่วยเหลือกัน ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น- มีนักเรียนจำนวนน้อยกลัวว่าการศึกษาวิธีนี้จะทำให้ความเข้าใจของตนเองคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงคิดว่าจะส่งผลเสียต่อการเรียนมากกว่าครูสอนเอง ประกอบกับภายในกลุ่มไม่ได้ช่วยเหลือกัน จึงทำให้เกิดความเครียด และไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะส่งผลดีหรือให้ประโยชน์อย่างแท้จริง7. คำถามที่ว่าอยากเรียนโดยวิธีนี้อีกหรือไม่- นักเรียนส่วนใหญ่เห็นว่า อยากเรียนอีก เพราะเกิดความสนุก ทำให้เกิดความเพียรพยายาม ไม่เครียด ได้แลกเปลี่ยนบรรยากาศ ทำให้ไม่เบื่อหน่าย ทำให้เข้าใจดียิ่งขึ้น แต่เนื้อหาต้องไม่ยากจนเกินไปต่อความเข้าใจ และไม่ต้องเรียนวิธีนี้บ่อยๆ- นักเรียนส่วนน้อยที่ไม่อยากเรียนอีก ให้เหตุผลว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ภายในกลุ่มไม่มีความร่วมมือ ช่วยเหลือกัน จึงเกิดความเครียด และหวาดวิตก เกรงว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ สรุป ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้1. นักเรียนส่วนใหญ่ที่สอบเป็นรายบุคคล คือห้อง ม.4/1 และห้อง ม.4/3 สอบผ่านคือ ทำคะแนนได้เกินครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม จำนวน 84.78% และ 72.92% ตามลำดับ มีนักเรียนส่วนน้อยที่สอบไม่ผ่าน มีจำนวน 15.22% และ 27.08% ตามลำดับ2. คะแนนเฉลี่ย ของผลสอบทุกห้องจะสูงกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็ม ดังนี้ ม.4/1 มี = 9.91 ม.4/2 มี = 12.23 ม.4/3 มี = 9.293. จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนแบบร่วมมือในชั้นเรียน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ให้ความสนใจ ตั้งใจ ให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่มอย่างจริงจัง มีบางกลุ่มเท่านั้นที่ต่างฝ่ายต่างก็ศึกษาตามลำพัง ไม่สนใจ และช่วยเหลือกัน4. จากผลแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นของนักเรียนได้ข้อสรุปว่านักเรียนส่วนใหญ่ รู้และเข้าใจเป้าหมาย ของการเรียนโดยวิธีนี้เมื่อได้เรียนแล้ว ส่วนใหญ่จะชอบมากกว่าไม่ชอบ ด้วยเหตุผลที่ว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่เครียด มีประโยชน์ มีเวลาในการทำความเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ เพื่อนในกลุ่มจะให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกิดความสามัคคีในกลุ่ม ส่วนเนื้อหาที่ใช้วิธีการเรียนแบบนี้ ก็เหมาะสมแล้วเพราะไม่ยาก หรือง่ายเกินไป และเห็นว่าควรใช้วิธีการแบบนี้อีกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาด้วยว่า เหมาะสมกับวิธีการนี้หรือไม่ อภิปรายผล1. การวัดผลการเรียนรู้ หลังจากนักเรียนได้ศึกษาจากบทเรียนเรียบร้อยแล้ว จะเป็นการวัดรายบุคคลแล้วนำคะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนกลุ่ม แต่ทำได้เพียง 2 ห้อง คือ ห้อง ม.4/1 และ ห้อง ม.4/3 ส่วนห้อง ม.4/2 สถานที่ไม่อำนวยจึงได้จัดให้นั่งสอบเป็นกลุ่มช่วยกัน จึงพบว่าคะแนนแต่ละกลุ่มของห้อง ม.4/2 ค่อนข้างสูง ซึ่งมี 1 กลุ่มที่ทำคะแนนได้เต็ม และทุกกลุ่มสอบผ่าน ทำคะแนนได้เกินครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะการระดมความคิด ช่วยกันแก้ปัญหา ส่งผลให้นักเรียนทำคะแนนได้สูง ไม่ว่าจะเป็นคะแนนเฉลี่ยของห้องก็สูงกว่า และแม้แต่คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มที่ได้คะแนนต่ำสุด คะแนนของห้อง ม.4/2 ก็สูงกว่าเช่นกัน ข้อเสนอแนะ1. การจัดกลุ่มเพื่อศึกษาบทเรียน ควรจะจัดเด็กเก่ง – เด็กอ่อน คละกัน ไม่ควรให้เด็กจัดกันเอง ครูควรจะจัดให้ เพราะถ้าให้เด็กจัดเองอาจไม่ยุติธรรมสำหรับเด็กบางกลุ่ม2. <