(๑)
วันสองวันที่ผ่านมา มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนมุมมองการทำงานกับอาจารย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับโครงการ "มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน หรือ “หนึ่งคณะ หนึ่งหมู่บ้าน” ที่ผมนำร่องไปร่วมปี
อาจารย์ท่านนั้น มีความสนใจเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผมขับเคลื่อนเป็นอย่างมาก ท่านเข้าใจเจตนารมณ์ที่ผมคิดและอยากจะทำเพื่อสร้างสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตร (นอกชั้นเรียน) โดยมีนิสิตเป็น “สะพานใจ” เชื่อมร้อยเข้าหากัน ภายใต้กิจกรรมหลักคือการฝากตัวเป็น ลูกฮัก การเรียนรู้วิถีวัฒนธรรม ทำค่ายอาสาพัฒนาเล็กๆ ผสมผสานไปกับการบริการวิชาการสู่สังคม
และนั่นยังรวมถึงกระบวนการของการปลูกฝังให้นิสิต หรือแม้แต่คนในชุมชนได้ตั้งคำถามเรื่อง “สำนึกรักษ์บ้านเกิด” ไปพร้อมๆ กัน เฉกเช่นกับการซ่อนนัยสำคัญของการจะสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำนิสิตในสังกัดสโมสรนิสิตคณะต่างๆ นั้น มีทักษะการทำกิจกรรมเพื่อบริการสังคมซักกี่มากน้อย เพราะความจริงที่เห็นเด่นชัดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ องค์กรแทบนิ่งงันอยู่กับกิจกรรมประเพณีนิยมในระบบเท่านั้น น้อยนักที่จะมีกิจกรรมที่มุ่งสู่การเรียนรู้และให้บริการแก่สังคมอย่างที่ผมกำลังขาย “ไอเดีย” (ความฝัน)
(๒)
การพูดคุยกันในครั้งนั้น หลักๆ ผมยืนยันหนักแน่นว่ากระบวนคิดที่มีขึ้น ผมใช้เวลาขบคิดมาร่วมสิบปี วันเวลาเปลี่ยนผ่านรุดเร็วแค่ไหน ผมก็ไม่เคยละวางไปจากจุดยืนทางความคิด และที่สำคัญ, ผมเปิดเปลือยให้อาจารย์ท่านนั้นฟังในทำนองว่า “..ปลายทางแห่งความฝันที่ว่านี้ ผมปรารถนาเห็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนได้จับมือกันสร้างระบบ หรือวัฒนธรรม “ลูกบุญธรรม” หรือหอพักแบบ “โฮมสเตย์” ด้วยซ้ำไป...”
ครับ-นั่นเป็นความฝันที่ผมเฝ้าฝันและปรารถนาเรื่อยมา กระทั่งสบโอกาสก็ผุดโครงการ “มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน” (๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน) ขึ้นมา โดยรู้และตระหนักล่วงหน้าแล้วว่าการงานในครั้งนี้จะหนักหน่วง แสนสาหัสอย่างมหาศาล เพราะมันมีรายละเอียดปลีกย่อยซ้อนทับอยู่เยอะแยะไปหมด บางอย่างมองเห็นเด่นชัด สามารถแก้ไขได้ แต่ผมก็จำต้องกัดฟันที่จะไม่ผลีผลาม หรือรุกร้อนเข้าไปสะสางและนำพาได้ด้วยตัวเองเสียทั้งหมด ไม่ใช่ละเลย เพิกเฉย หากแต่เป็นความพยายามที่จะเปิดพื้นที่ให้ “คนหน้างาน” ที่หมายถึงนิสิตและทีมงานจากคณะได้ทำงานร่วมกัน หรือแม้แต่ได้สนธิพลังกับชุมชนเพื่อถอดรหัสนั้นร่วมกันให้ได้มากที่สุด
(๓)
การพูดคุยดังกล่าว ผมพยายามสื่อให้อาจารย์ได้เห็นภาพความคิดว่าไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วจากหาย แต่ผมพยายามสร้างกระบวนการทางความคิดให้นิสิตขับเคลื่อนกิจกรรมในชุมชนของพ่อฮักแม่ฮักอย่างต่อเนื่อง...(ไม่อัดแน่น แต่ให้เคลื่อนตัวไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ แต่สม่ำเสมอ...)
กระบวนการเช่นนั้น ทั้งผมและทีมงานพยายามจัดวางกิจกรรมอื่นๆ เสริมเข้าหนุนเป็นระยะๆ ขณะที่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความคิดของนิสิตและชาวบ้านโดยที่ผมและทีมงานไม่จำเป็นต้องไปกำหนดรูปแบบ หรือทิศทางใดๆ ดังจะเห็นได้จากการไปต่อยอด “พันธกิจทางใจ” ในวาระต่างๆ เช่น ดำนา เกี่ยวข้าว ช่วยงานกฐิน ช่วยงานแต่ง ทอดผ้าป่า ปลูกกระท่อมท้ายทุ่ง ตรวจสุขภาพ สอนการบ้านและการวาดภาพ ถวายเทียนพรรษา สอนดนตรีและกีฬา รณรงค์การเลือกตั้ง ฟังเทศน์ ร้องสรภัญญะ สู้ภัยน้ำท่วม ฯลฯ
(๔)
กรณีบ้านหัวหนอง ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เป็นอีกพื้นที่หนึ่งของการขับเคลื่อนกิจกรรมตามแนวคิดดังกล่าว โดยมีสโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบต่อกระบวนการของการเป็น “ลูกฮัก”
เบื้องต้นชาวบ้านแจ้งความประสงค์ที่จะให้นิสิตเข้าไปช่วยเหลือเกี่ยวกับการซ่อมแซมศูนย์ข้อมูลชุมชนในศาลาประชาคม หรือ “ศาลากลางบ้าน” ซึ่งสร้างไว้ร่วมสิบปี แต่ปัจจุบันเริ่มทรุดโทรมไปตามห้วงเวลา หรือแม้แต่เสื่อมทรุดไปเพราะแรงเฉื่อยภายในของผู้คนก็เป็นได้เช่นกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสังเกตเล็กๆ ที่ผมเก็บงำไว้เงียบๆ คนเดียวเรื่อยมา โดยไม่ถือเป็นประเด็นของการต้องทำให้กิจกรรมต้องชะงักงัน เพราะยังไงเสีย ผมก็ยังยืนยันว่าการงานในระยะเริ่มต้นนั้นต้องเอา “ความต้องการ” ของชุมชนเป็น “โจทย์” แห่งการเรียนรู้...
ผมค่อนข้างอุ่นใจกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยที่สุดการซ่อมแซมศูนย์ข้อมูลที่ว่านั้นจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้นิสิตได้ลงพื้นและมีเวลามากพอกับการเรียนรู้ชุมชนผ่านการสำรวจข้อมูลทั่วไปของหมู่บ้าน
โดยส่วนตัวผมมองว่าการสำรวจที่ว่านั้นจะเป็นกระบวนการอันสำคัญที่ทำให้นิสิตได้ลงสู่ชุมชนอย่างจริงๆ จังๆ และมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านแบบชิดใกล้และเป็นกันเอง หากโชคดีอาจทะลุสู่การเรียนรู้เรื่องราวในเชิง “มรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน” ไปในตัว ส่วนข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ย่อมถูกแปรรูปเป็นสื่อมอบให้กับชุมชน เพื่อจัดแสดงไว้ในศาลาประชาคมหลังเล็กๆ หลังนั้น
ผมอุ่นใจในกระบวนการที่ว่านั้นอย่างมหาศาล เพราะอย่างน้อยก็เห็นการคิดเชิงระบบของนิสิตและชาวบ้าน เพราะแทนที่จะทำเฉพาะเรื่อง “ข้อมูลทั่วไป” หรือ “ข้อมูลพื้นฐาน” ของหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังขยายงานไปสู่การขับเคลื่อนเรื่องอื่นๆ ไปในตัวอย่างไม่รีรอ
(๕)
การทำงานเป็นห้วงๆ ที่ว่านั้นก็คือในระยะต้นเป็นการทำงานของนิสิตรุ่นพี่ทั้งสิ้น แกนนำในสโมสรนิสิตได้ลงพื้นที่พบปะเก็บข้อมูลอันเป็นความต้องการของชุมชน จากนั้นก็ออกแบบกระบวนการเพื่อไปให้ถึงความต้องการของชุมชน โดยมีชุมชนเป็นกลไกภายในของการขับเคลื่อนทั้งปวง จวบจนกิจกรรมในชุมชนยืนระยะได้บ้างแล้ว ก็เปลี่ยนทิศไปสู่สถานศึกษาในชุมชนนั้นๆ ...
ครับ-การทิ้งระยะห่างเช่นนั้น ผมมองว่าสำคัญมาก เพราะมันคือภาพสะท้อนของนิยามแห่งการเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับที่นิสิตและชาวบ้านต้องตระหนักไว้อย่างหนักแน่น เพราะกระบวนการที่ว่านั้นคือรากฐานอันแท้จริงของการสร้างความ "เข้มแข็ง-มั่นยืน" ของชุมชน
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงคราเปิดภาคเรียนต้น ๑/๒๕๕๔ นิสิตรุ่นพี่ก็จัดระบบแบบแผนการทำงานอีกรอบ ครั้งนี้แทนที่จะกลับไปสู่ชุมชนในฐานะลูกฮักเหมือนที่ผ่านมา ตรงกันข้ามกับพ่วงพาเอาน้องใหม่ไปฝากตัวเป็นลูกฮักเพิ่มเติมแบบยกใหญ่ พร้อมๆ กับการส่งพันธกิจทางใจสู่รุ่นน้องให้ “สานต่อ” สู่การเรียนรู้และบริการสังคมในแบบที่ถนัด เช่น ทำความสะอาด ปรับภูมิทัศน์ จัดทำสื่อ จัดบอร์ด ทาสีกระถางพืชผัก ทางสีกำแพงโรงเรียนและห้องเรียน เป็นต้น
และนี่คือภาพสะท้อนเล็กๆ ของความสำเร็จที่เกิดจากเวที ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านที่ผมเป็นเพียง “คนขายไอเดีย” ที่เฝ้ามองและอดทนต่อการให้ “คนทำงาน” ซึ่งหมายถึงนิสิตและชาวบ้านได้เพียรพยายามทำทุกอย่างร่วมกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่จำเป็นต้องติดยึดอยู่ที่ผมเพียงคนเดียว
เพราะนี่คือวิถีของนิสิต
นี่คือวิถีกิจกรรมแห่งการเรียนรู้ที่นิสิตพยายามรังสรรค์ควบคู่ไปกับการบริการสังคมเท่าที่ศักยภาพของเขาพึงกระทำได้
ครับ,ทำได้แบบค่อยเป็นค่อยไป...
ทำได้แบบ "พี่นำร่อง..น้องทำตาม"
...
๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน
ณ บ้านหัวหนอง ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
โดย สโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ ม.มหาสารคาม
งบประมาณดำเนินการ ๓๐,๐๐๐ บาท
อรุณสวัสดิ์รับรู้ด้วยความสดชื่นสุขใจกับการปลูกจิตสำนึกดีๆให้แก่เยาวชนรักษ์ท้องถิ่นเช่นนี้ค่ะ การเริ่มต้นที่ดีทั้งแนวคิดและการลงมือปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่กดดัน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ย่อมจะสร้างรากฐานที่ยั่งยืนสืบต่อไปนะคะ ขอสนับสนุนแบบอย่างดีๆเช่นนี้ค่ะ
เยี่ยมมากๆครับ เรียนรู้จากสิ่งที่ตนเองทำ ย่อมเป็นคำตอบในใจสำหรับทุกๆคนครับ
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
ไม่ว่าในเวทีใดก็ตาม ผมพยายามบอกเล่าให้เข้าใจว่ากิจกรรมที่นิสิตจัดขึ้นนั้น มีพัฒนาการในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปแบบของค่ายต่างๆ ไม่จำเป็นต้องฝังตัวอยู่หลายวัน ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยตรง แต่สามารถทำในแบบบูรณาการได้ และที่สำคัญก็คือนิสิตสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในภาคสนามได้เป็นอย่างดี เป็นเสมือนเครื่องมือในการนำพาไปสู่การเรียนรู้ ถึงแม้กระบวนการ หรือเครื่องมือที่นำไปใช้จะไม่ถึงระดับการบริการวิชาการแก่สังคมของนักวิชาการ หรือนักวิจัยก็ตาม แต่นั่นก็ถือว่าในเนื้อหาและกระบวนการ หรือแม้แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็เป็นความสำเร็จในมุมของนิสิตที่เราต้องทำความเข้าใจ-ชื่นชมและยกย่องอย่างต่อเนื่อง เพราะหากทำได้มันจะกลายเป็นพลังที่มีตัวตนและเป็นรูปธรรม มีมาตรฐานขึ้นเรื่อยๆ...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณPeter p
ทำเอง..เรียนรู้เอง...รู้และตระหนักเอง ผมถือว่าเป็นหัวใจของการเรียนรู้...
ในเรื่องเดียวกัน เมื่อต่างคนต่างลงมือปฏิบัติสู่เป้าหมายเดียวกัน แต่อาจมีวิธีการต่างกัน ได้ปลายทางอันหมายถึงเป้าหมายเดียวกันก็จริง แต่ในบริบทย่อยที่เกิดขึ้นระหว่างการขับเคลื่อน หรือเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ผมเชื่อว่าแต่ละคนจะได้มุมมอง เกร็ดความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งเหมือนและต่าง...
สำคัญอยู่ที่ว่า เสร็จสิ้นกิจกรรมแล้ว จะมีเวทีให้แต่ละคนนำสิ่งที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกี่มากน้อยเท่านั้นเอง
ขอบคุณครับ
ขอชื่นชมและขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
สวัสดีครับ คุณอักขณิช
ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
เสียดายที่สโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ยังไม่สามารถปรับแต่งกิจกรรมไปสู่การสอนหนังสือเด็กในหมู่บ้านได้ ซึ่งคาดว่าสักระยะอาจผุดแนวคิดนี้ขึ้นมาได้เอง เพราะถ้าทำได้ก็ไม่น่าจะหนักหน่วงอะไร เนื่องจากนิสิตมีทักษะวิชาชีพในทำนองนี้ชัดเจนอยู่แล้ว
สวัสดีครับ อ.แม่ (ผศ. วิไล แพงศรี)
แปลกแต่ก็จริงนะครับ ในวันที่เขียนบันทึกนี้เสร็จสิ้นลง ผมนึกถึงอาจารย์แม่มากเลย คิดในใจว่าท่านจะแวะมาอ่านเรื่องราวที่ผมเขียนหรือเปล่า และนั่นก็คือความมหัศจรรย์ของกระแสจิตกระมังครับอาจารย์แม่ฯ กลับมาเยี่ยมเยียนอย่างน่าทึ่ง
ตอนนี้ผมกำลังหาวิธีผนวกกิจกรรมเหล่านี้ลงในวิชาเรียน โดยเฉพาะวิชา "พัฒนานิสิต" (ศึกษาทั่วไป) ที่ผมรับผิดชอบอยู่ และอีกไม่นานนี้ก็จะพานิสิตกลับไปจัดกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูเรื่องกฐินโบราณ ซึ่งผมเองก็เพิ่งกลับจากประชุมชาวบ้านมา ชาวบ้านตื่นตัวกันมาก พรุ่งนี้แกนนำนิสิตจะลงประสานงานและหารือกับชาวบ้านกันอีกรอบ
ขอบพระคุณครับ