สวัสดีครับ
วันนี้ขอถอดบทเรียนธรรมะจากรายการ พุทธปัญญาภิรมย์ ช่อง TNN
ที่นำสาระดีๆในวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 7.00-8.00 น. มานำเสนอ
หากท่านใดสามารถรับชมทางช่องนี้ได้
ก็อยากเชิญชวนให้ฟังธรรมะยามเช้านะครับ
หัวข้อที่ฟัง คือ ความสุขที่แท้จริง
พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
ความสุขที่เราแสวงหา
เป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่?
ความสุขมี 2 แบบ
ความสุขแบบที่
1 ความสุขแบบที่ต้องมี
สิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจ
ต้องอาศัยวัตถุ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง กินอาหารที่ชอบ ใช้รูป รส
กลิ่นเสียง ไปกระตุ้นประสาทสัมผัส ต้องการ
การกระตุ้นเรื่อยๆ
ความสุขที่แท้จริงต้องยั่งยืน ไม่มีโทษ
ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่
การกินอาหารคำแรกอร่อย ถ้าหากให้กินทุกวันๆๆๆๆ
ก็จะรู้สึก... เบื่อ
การฟังเพลงที่ไพเราะ ฟังเพลงเดิม ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ก็...
เบื่อ
ความสุข เริ่มจางหายไป เป็นความสุขชั่วคราว
เสื้อผ้าที่สวย บางคนซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ใส่ แต่ชอบซื้อ
มาเก็บ ถ้าจะให้สุขตลอดไป ก็ต้องหาเสื้อผ้าใหม่ มาเพิ่มเติม
หาสิ่งกระตุ้น ให้ตื่นตา ตื่นใจ
อยากมี อยากได้
เป็นกิเลส
สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า
มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
ผมเคยฟังธรรมะนานมาแล้ว พระท่านบอกว่า
ให้ทดลองเชิงประจักษ์ ว่าสุขจากสิ่งเร้าจิต กระตุ้นใจ
ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง คือ ให้อมอาหารเราที่ว่ามีรสชาดที่อร่อย
ที่เราชอบ ให้ทดลอง โดยการอมไว้ในปากนานๆ
ดูซิว่ามันยังอร่อยอยู่หรือไม่
ไม่นานรสชาดมันก็จะเปลี่ยนไป
ความสุขจากสิ่งเร้าจิต
กระตุ้นใจ เป็นความสุขชั่วคราว เราต้องเหนื่อยในการรักษา
ต้องเสาะแสวงหามันมา หลวงพ่อท่านยกตัวอย่าง เช่น การมีรถยนต์
โดยเฉพาะรถคันใหม่ รถยนต์ที่มีราคาแพง เมื่อเราจอดรถไว้ข้างนอกบ้าน
เราจะรู้สึกเป็นห่วงว่า... จะมีโจรมาลักขโมยหรือไม่
จะมีใครมาชนหรือไม่ ทำให้เจ้าของรู้สึกเป็นกังวล
เป็นห่วงรถยนต์ของตน
สิ่งของที่เรามีอยู่ เราคิดว่ามันเป็นของเรา แต่บางครั้ง
คนเรากลับตกเป็นของมัน
มีหลายคนที่บ้านไฟไหม้
วิ่งกลับเข้าไปเอาสมบัติที่อยู่ข้างใน แล้วต้องมาเสียชีวิตในกองเพลิง
เพราะคิดว่า มันเป็นของเราแต่ในทางกลับกัน เราเป็นของมัน ชีวิตเราเป็นของมัน
ยอมแลกชีวิตเราเพื่อได้มันมา
เมื่อไม่นานนี้ มีข่าว นักศึกษาปล้นธนาคาร
เพื่อเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟื่อย ยอมแลกอนาคตของตนกับกิเลส
อยากมี
อยากได้
ความสุขแบบที่
2 เกิดจากใจที่สงบ เกิดได้หลายทาง เช่น
เกิดจากการไม่รับรู้อะไร ปิดหู ปิดตา นั่งหลับตา อยู่ในป่า
อยู่ที่เงียบสงบ แรกอาจจะไม่คุ้น แต่ทำบ่อยๆ
ก็มีความเงียบสงบ
แต่ก็ยังเป็นความสงบชั่วคราว
ความสงบที่แท้จริง คือ ความสงบจากการรู้ ใจกระเพื่อมก็รู้
รู้จักรักษาใจให้สงบ มีสติ รู้ ระลึกได้
รู้แล้ววาง
ท่านยกตัวอย่างพระรูปหนึ่ง เดินไปบิณฑบาตร
มีเด็กคนหนึ่ง
ตะโกนว่า แก... ไม่ใช่พระ
แก... ไม่ใช่พระ
พอได้ยินดังนั้น ท่านก็โกรธ
แต่เมื่อท่านคิดได้ ท่านวาง
เพราะถ้าเป็นพระจะไม่โกรธ
ได้ยินเสียง ยึดติด
ถือมั่น เป็น ทุกข์
อีกตัวอย่าง พระหนุ่มไปจำวัดที่บ้านหลังหนึ่ง
มีคนแก่เดินลาก เกี๊ย
(รองเท้าไม้ของคนจีน) เดินมีเสียงดัง
พระหนุ่ม ก็บ่นออกมาเสียงดังว่า...
พระจะหลับจะนอน
มาเดินลากเกี๊ย เสียงดัง ไม่รู้จักหลับ
จักนอนเลย
พระแก่ ก็เตือนสติ ว่า...
คนแก่
เค้าเดินดีๆ ดันเอาหู ไปลองเกี๊ย เค้าซะได้
555 ... !
มีคนถาม หลวงปู่ดุลย์ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ว่า... หลวงพ่อ
ท่านมีความโกรธ เป็นกับเค้าหรือเปล่า
ท่านก็ตอบว่า... มี แต่
ไม่เอา
เอาเหตุผล มาหล่อเลี้ยงความโกรธ
มีปัญญา โกรธ
ไม่น่าเอา
มีสติ รู้โกรธ เพราะ โกรธบั้นทอนจิตใจคน
ไม่ยึดติด ไม่ถือมั่น ไม่มีตัวตน
ตัวอย่างจาก เวยหล่าง
จิตเหมือนกระจก มั่นเช็ดกระจก
ไม่ให้หมอง
เมื่อ กระจก ไม่มี
ตั้งแต่แรกแล้ว จะมีฝุ่นได้อย่างไร และ ก็ไม่ต้องเช็ดกระจก
อีกด้วย
รู้เท่าทันสติ ใช้มันให้เป็น
สงบรู้/ไม่รู้
นิทานธรรมะ
มีชายคนหนึ่ง ไม่ชอบเงา ไม่ชอบรอยเท้าของตนเอง
พยายามวิ่งหนี เงา และ รอยเท้าของตนเอง
วิ่งหนีเท่าไร ก็ไม่พ้น
แต่... เมื่อเหนื่อย ก็ไปนั่งพักใต้ร่มไม้
พบว่า... ไม่มีเงา ไม่มีรอยเท้า
ทำให้คิดได้
เหมือนชีวิต ที่ต้องวิ่ง ไล่ล่าหาความสุข
สุขที่แท้จริง ต้องหยุดวิ่งไล่ล่า
สุขที่แท้จริง คือ หยุด
หยุด หาสิ่งเร้าจิต
กระตุ้นใจ
ใช้สติ ปัญญา ระลึกรู้ ระลึกได้
ไม่ยึดมั่น ถือมั่น
ธรรมะจากผู้ฟังส่งมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรายการ