เปิดเลนส์ ส่องโลก ท่องแดนไกล ตามใจฉัน อินเดีย แคชเมียร์ ตอนที่ 7 เที่ยวตลาดน้ำที่ทะเลสาบดาลก่อนอำลาแคชเมียร์


ชมความงามยามเช้าของทะเลสาบดาล แวะดูวิถีชีวิตชาวบ้านที่ตลาดน้ำ

                  เช้าวันที่ 26 กันยายน พวกเราขอให้อาจ๊าดเจ้าของบ้านเรือจัดเรือมารับไปชมตลาดน้ำยามเช้า อาจ๊าดนัดพวกเราให้มารอเรือตอนตีห้าครึ่งค่ะ จริงๆ รายการนี้พวกเราต้องเสียค่าจ้างเอง แต่อาจ๊าดให้เป็นอภินันทนาการค่ะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ประทับใจ ณ จุดนี้ค่ะ อาลีชายผู้ซื่อสัตย์คนเดิมเป็นคนมารับพวกเราค่ะ

                                 บรรยากาศตอนเช้า ณ ทะเลสาบดาลสุดยอดเลยค่ะ หนาวๆ เงียบๆ สงบๆ ธรรมชาติสุดๆ น้ำในทะเลสาบดาลใสมากกกกกกกกกกกก ใสจนเห็นถึงก้นทะเลสาบเลยค่ะ

                  อาลีพายเรือไปเรื่อยๆ ก็ถึงตลาดน้ำค่ะ ส่วนมากของที่นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนจะเป็นผักค่ะ

                   ภาพนี้อิชั้นถ่ายตอนที่เค้ากำลังคุยกันโขมงโฉงเฉง น่าจะกำลังต่อรองราคาสินค้ากันอยู่นะคะ

                  มาดูลุงคนนี้กันค่ะ อิชั้นว่าหน้าตาแกเหมือนในเรื่องแฮรี่พอตเตอร์เลยนะคะ แกพายเรือเปล่าค่อยๆ เลื้อยเข้ามาประชิดเรือของพวกเราค่ะ มาล่อให้ถ่ายรูปซะเหลือเกิน พวกเราก็มิรอช้าค่ะ ถ่ายรูปแกประดุจแกเป็นซุปเปอร์โมเดลเลยทีเดียว

อิชั้นชอบใบพายของที่นี่มากเลยค่ะ หัวใจสีแดงซะ เริ่ดมากคร๊า

                  ที่ตลาดน้ำมีพ่อค้ามาตื้อขายชา Saffron พวกเราค่ะ แรกๆ พวกเราทำท่าไม่สนใจ แกเลยบอกว่า “เดี๋ยวถ่ายรูปกันไปก่อนนะ ไว้จะแวะกลับมาใหม่” ตอนขากลับพี่แกแวะมาใหม่จริงๆ ค่ะ แกว่าตัวแกเป็นนักศึกษาด้านการแพทย์ มาขายของก่อนไปเรียน แกก็บรรยายสรรพคุณของชาว่าดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ โดยเฉพาะดีกับผู้หญิงตั้งครรภ์ แกขายชา Saffron กรัมละ 100 รูปีค่ะ ต่อราคาไปต่อราคามาสรุป 5 กรัม 200 รูปี พวกเราก็ดีใจที่ได้ของถูก ตอนที่ต่อราคากันอยู่นั้นอาลีลุงพายเรือพูดเป็นภาษาแคชเมียร์อะไรซักอย่าง เพื่อนอิชั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า “สงสัยเป็นชาปลอมว่ะ ลุงอาลีเหมือนจะเตือนมาแล้ว” พ่อหนุ่มคนขายชาบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก ลุงแกแค่บอกว่าให้รีบๆ หน่อยเท่านั้นเอง” อิชั้นยังนึกอยู่เลยว่าคงไม่ขายของปลอมหรอกมั้ง

                  ตัดตอนมาที่บ้านแป๊บนะคะ พอกลับมาถึงบ้าน (เมืองไทย) อิชั้นเกิดครึ้มอกครึ้มใจเลยลองชงชาเปรียบเทียบกันดู ผลปรากฏว่า โอ้วววววววววววแม่เจ้า มันหลอกตูนี่หว่า ดูดีๆ นะคะ แก้วทางด้านซ้ายมือคือชาที่ซื้อตอนที่ทาริคพาไปซื้อกรัมละ 200 รูปี ส่วนแก้วทางขวามือคือชาที่ซื้อจากตลาดน้ำ 5 กรัม 200 รูปี สีมันต่างกันเลยล่ะค่ะ กลิ่นก็ต่างกันด้วย และที่สำคัญชาที่ใส่ไปในแก้วขวามือมันละลายหายไปกับน้ำเลยค่ะ มันเอาสาหร่ายมาย้อมสีหลอกกันหรือเปล่าเนี่ย อยากกลับไปฆ่ามันนัก ฮึ่มๆ จำหน้าพ่อหนุ่มคนขายชาคนนี้ไว้ให้ดีนะคะ ใครที่ไปเที่ยวตลาดน้ำที่แคชเมียร์จะได้ไม่ถูกหลอกเหมือนพวกเรา เพื่อนอิชั้นบอกว่า “อืม มาถึงอินเดียและ ไม่ถูกหลอกแสดงว่ามาไม่ถึงอินเดีย” เออ จริงแหะ

อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้แล้วใช่มั๊ยคะว่าถ้าเจองูกับเจอแขกให้ตีอะไรก่อน

ก.ตีงู

ข.ตีแขก

ถ้าใครตอบผิดตีตายเลยนิ

                  มาดูกันให้ชัดๆ อีกทีวิธีสังเกตชา Saffron ค่ะ ด้านซ้ายชากรัมละ 200 รูปี (ของจริง) จะเห็นเป็นกลีบคล้ายๆ เกสรดอกไม้ส่วนปลายจะเหลืองๆ ส่วนด้านขวาคือชาที่ซื้อ 5 กรัม 200 รูปี (ไม่แน่ใจว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะใช่) จะเป็นเส้นแดงๆ ฝอยๆ เอามาหั่นๆ น่ะค่ะ ตอนยังไม่ชงอิชั้นลองดมกลิ่นดู กลิ่นเหมือนกันทีเดียว

                  ขากลับบ้านเรือ เพื่อนอิชั้นเกิดอยากเป็นนางทาสพายเรือให้พวกองค์หญิง เธอเลยไปขออาลีพายเรือค่ะ อิชั้นถามเธอว่าเป็นไงบ้าง เธอบอกว่า “เหนื่อยกว่าแบกกระสอบข้าวสารซะอีก” เธอเลยควักทิปส่วนตัวให้อาลีไปอีก 100 รูปี สงสัยรู้ซึ้งถึงความเหนื่อยยากของการพายเรือว่ามันเหนื่อยไม่ใช่เล่นนะเนี่ย

                  พวกเรายังมีเวลานิดหน่อยที่จะออกไปช้อปปิ้งผ้ากันต่อก่อนที่จะเดินทางไปสนามบินศรีนากาเพื่อบินกลับไปนิวเดลี ระหว่างทางเดินไปร้านผ้าเจอหญิงสาวชาวแคชเมียร์กำลังซักผ้าในทะเลสาบดาลค่ะ เห็นแล้วนึกถึงประเทศไทยสมัยก่อนจัง

                                 ก่อนกลับพ่อบ้านทั้งสองคน (จากบ้านเรือหลังแรกและบ้านเรือหลังที่สอง) ออกมาส่งพวกเรากลับบ้านค่ะ พวกเราให้ทิปพ่อบ้านคนแรกไป 500 รูปี ส่วนคนที่สองตอนแรกจะให้  500 รูปีเท่ากัน แต่หลังๆ แกบริการไม่ค่อยประทับใจเพื่อนของอิชั้นเลยลดทิปแกเหลือแค่ 200 รูปี แต่อิชั้นสงสารเลยเพิ่มเงินส่วนตัวให้อีก 50 รูปี (มีแบงค์เล็กอยู่แค่นี้) เป็น 250 รูปีค่ะ ส่วนอาลีลุงพายเรือให้ทิปแกไป 300 รูปีค่ะ (ทิปที่ให้ๆ ไปส่วนใหญ่เป็นทิปส่วนรวมของ 4 คนค่ะ ไม่รู้ว่าคนที่เคยไปเที่ยวกันเค้าให้ทิปกันมากน้อยเท่าไหร่ หวังว่าที่พวกอิชั้นให้ไปจะไม่น้อยไปนะคะ)

                  พวกเราเผื่อเวลาเช็คอินที่สนามบินศรีนากาไว้ประมาณสามชั่วโมงค่ะ (จริงๆ สองชั่วโมงก็น่าจะทันนะคะ) เพราะหาข้อมูลมาว่าที่นี่เข้มงวดเช็คเยอะ เลยต้องเผื่อเวลาไว้ ทาริคเป็นคนมาส่งพวกเราค่ะ พวกเราให้ทิปแกไป 1000 รูปี แกทำหน้าที่ตลอดห้าวันได้ดีมากค่ะ ทุกบันทึกพูดถึงแกตลอดแต่ไม่เคยโชว์หน้าแกเต็มๆ ซะที มาดูกันค่ะว่าแกหน้าตาเป็นอย่างไร อ้อตอนที่ไปเที่ยวด้วยกัน พวกเราได้ถ่ายรูปกับทาริคด้วย แกเลยขอให้พวกเราส่งรูปไปให้แกด้วย เพื่อนอิชั้นเธอเลยอาสาอัดรูปแล้วจะส่งเป็นจดหมายไปให้แกที่แคชเมียร์ค่ะ (น่ารักจริงๆ ขอบใจนะจ๊ะ)

สนามบินศรีนากาเข้มงวดจริงๆ ค่ะ ต้องผ่านด่านตรวจทั้งหมด 4 ด่านด้วยกัน

1. ทางเข้าเขตสนามบิน ผู้โดยสารต้องขนสัมภาระไปเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ด้วยตัวเอง แล้วก็มีค้นเนื้อค้นตัว เสร็จแล้วก็หิ้วกระเป๋าขึ้นรถต่อ

2. ทางเข้าไปภายในสนามบิน เช็คกระเป๋าติดแท็ก แล้วก็ค้นตัว

3. ทางเข้าเกต เช็คกระเป๋าติดแท็ก แล้วก็ค้นตัว ด่านนี้ต้องรื้อของในกระเป๋าที่เอาขึ้นเครื่องมาโชว์ด้วยนะคะว่ามีอะไรบ้าง ตรงด่านนี้เพื่อนชายของอิชั้นโดนทิ้งแอปเปิ้ล (พกกันมาคนละลูก) แล้วก็ถูกยึดจักรยานแฮนด์เมด (สำหรับโชว์) ไปด้วย เพื่อนบอกว่ามันทำมาจากเหล็ก สงสัยกลัวว่าจะเอาไปทำเป็นอาวุธได้ แต่อิชั้นไม่ถูกยึดนะคะ คงเป็นเพราะว่าอิชั้นหน้าตาดี คงเป็นผู้ร้ายไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  จักรยานแฮนด์เมดไปรับคืนอีกทีที่สนามบินอินทิราคานธีค่ะ

4. ก่อนขึ้นเครื่องบินต้องไปที่ช่อง Baggage Identification ด้วยนะคะเพื่อไปชี้กระเป๋าของตัวเองว่าครบจำนวนหรือไม่ ก่อนขึ้นเครื่องก็จะมีการตรวจค้นร่างกายอีกครั้ง วันนั้นอิชั้นพกลิปสติกในกระเป๋ากางเกงไปสองแท่งค่ะ เจ้าหน้าที่หญิงก็คลำๆ ตัวอิชั้นแล้วถามว่า “อะไรอยู่ในกระเป๋า” อิชั้นก็ตอบว่า “ลิปสติก” เธอก็บอกว่า “โชว์ให้ชั้นดูซิ" อิชั้นก็ควักออกมาโชว์ แท่งแรกเป็นลิปสติกรูปทรงที่เห็นทั่วๆ ไป เธอก็โอเค แต่พอแท่งที่สองนี่ซิมันเป็นทินทาปากสีแดงๆ เธอทำหน้าฉงน อิชั้นก็เลยทาปากโชว์เธอ เธอดูตื่นเต้นค่ะ แล้วก็คว้าเอาไปลองทาที่มือของตัวเอง แล้วบอกว่า “แดงดีจัง” แล้วเธอก็ส่งยิ้มให้อิชั้นก่อนที่จะปล่อยตัวอิชั้นขึ้นเครื่องบิน

                                 อิชั้นขออำลาแคชเมียร์ด้วยภาพนี้นะคะ แม้ว่าจะโดนแขกหลอกบ้าง แต่ว่าอิชั้นเจออะไรหลายอย่างที่น่าประทับใจเยอะแยะไปหมด จนจุดนี้ไม่สำคัญเลย ตอนนี้อิชั้นและเพื่อนๆ หลงรักแคชเมียร์กันทุกคนค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากจะกลับไปอีกซักครั้งค่ะ

                  พวกเรามาถึงสนามบินอินทิราคานธีตอนเย็นๆ ค่ะ กว่าเครื่องจะออกบินกลับไปสนามบินสุวรรณภูมิก็ 23.20 น. แน่ะ มีเวลานานหลายชั่วโมง พวกเราก็เลยเดินๆ เล่นๆ ถ่ายรูปกันอยู่ในสนามบิน

                  พวกอิชั้นพยายามอย่างยิ่งยวดที่จ่ายเงินรูปีที่เหลือให้หมดที่นี่เพราะถ้าไปแลกคืนจะขาดทุนย่อยยับเชียวค่ะ (ตอนแลกมา 1 รูปี 70 สตางค์ แต่ถ้าแลกคืน 1 รูปี 40 สตางค์เองค่ะ) อิชั้นกับเพื่อนๆ จึงจำเป็นต้องละลายเงินรูปีที่เหลือที่สนามบินอินทิราคานธีค่ะ ของที่สนามบินแพงมากค่ะ แต่มันไม่มีทางเลือกล่ะ ก็เลยเลือกที่จะซื้อของที่ร้านกิฟท์ช้อปร้านนี้ค่ะ

                    พวกเรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่ของวันที่ 27 กันยายน มีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะบินกลับหาดใหญ่ หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปก็ร้านอาหารไทยคร๊า คิดถึงอาหารไทยเหลือเกิน

                    เอาล่ะค่ะมาดูกันว่าค่าใช้จ่ายทริปนี้เป็นเท่าไหร่ ทริปนี้ 8 วัน 7 คืน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งสิ้น (ยกเว้นค่าช้อปปิ้ง) ประมาณ 28000 บาทค่ะ อิชั้นช้อปปิ้งไปเยอะพอควร ทริปนี้อิชั้นจึงจ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 35000 บาทค่ะ

หมายเลขบันทึก: 464379เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2011 21:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 16:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อยากทราบค่าใช้จ่ายด้วยครับ แพงหรือไม่ เพียงใด

สวัสดีค่ะ Ico48 ค่าใช้จ่ายแปะลิงค์ไว้ที่บันทึกแรกค่ะ http://www.gotoknow.org/blog/travellingwithaordy/457283 อยู่ตรงท้ายสุดน่ะค่ะ โปรแกรมทัวร์อินเดีย 8 วัน 7 คืน ได้เขียนค่าใช้จ่ายแต่ละอย่างไว้หมดแล้วค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท