กิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน เดินทางมาร่วมครบขวบปี แต่หากพิจารณาทวนกลับไปยังชื่ออย่างเป็นทางการ จะพบว่า “มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน” นั้นกำลังเดินทางมาร่วมๆ จะ ๑ ทศวรรษเลยทีเดียว
มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน มีชื่อเล่นเรียกเป็นวาทกรรมเชิงรุกว่า “๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน” ซึ่งผมริเริ่มไว้อย่างเป็นทางการเมื่อเกือบๆ จะ ๑๐ ปีที่แล้ว ณ บ้านหนองแข้ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
แน่นอนครับ วิธีคิดของผมไม่ใช่วิธีคิดที่ทรงพลังพอที่จะตอบอะไรๆ ได้อย่างเป็นวิชาการนักหรอก ผมถนัดอะไรก็คิดมาในมุมนั้น และรู้แต่เพียงว่า “ผมอยากทำ” หรือรู้ทั้งรู้ว่า “คงยากที่จะขับเคลื่อนให้หน่วยงานใดๆ ในมหาวิทยาลัยเห็นพ้องกับผมได้” ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นจากการ “คิดเอง..ทำเอง”
ระยะแรก, ผมพยายามหางบประมาณจากทบวงมหาวิทยาลัย ถัดมาก็ระดมทุนผ่านวิถีกิจกรรมของนิสิต จากนั้นก็มาเขียนหนังสือ เร่ขายหนังสือ เพื่อเอาทุนเล็กๆ น้อยๆ ไปจัดกิจกรรมในหมู่บ้านตามโอกาสต่างๆ...
ยิ่งทำก็ยิ่งเห็นภาพร่างทางความคิดของตัวเองชัดขึ้น
ยิ่งทำยิ่งเห็นว่านิสิต หรือกิจกรรมนอกชั้นเรียนนี่แหละ คือสะพานใจที่จะเชื่อมร้อยให้มหาวิทยาลัยและชุมชนเกิดความรักและเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแท้จริง
และยิ่งทำยิ่งค้นพบว่าหมู่บ้านรายรอบมหาวิทยาลัยนี่แหละ คือ “ห้องเรียนชีวิต” ที่นิสิตควรต้องก้าวเข้าไป “เรียนรู้”
ผมตัดสินใจเดินหน้าเรื่อง ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านแบบไม่ย่อท้อ รู้ทั้งรู้ว่านิสิตจากสโมสรคณะต่างๆ ยังขาดความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมเรียนรู้ชุมชนควบคู่ไปกับการให้บริการวิชาการแก่สังคมอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่ก็ล้วนสาละวนอยู่กับกิจกรรมประเพณีภายใน ไม่ว่าจะเป็นรับน้อง ซ้อมเชียร์ ตักบาตร เลี้ยงรับขวัญ, กีฬา ฯลฯ
การเริ่มต้นในครั้งนั้น ผมพยายามสร้างวาทกรรมเข้ามายึดโยง เช่น “มหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน” เพื่อมุ่งให้นิสิตได้เรียนรู้และตระหนักว่ามหาวิทยาลัยมีพันธกิจต่อชุมชนอย่างไร และที่ๆ ที่เหยียบยืนอยู่ ก็ล้วนเป็นที่สาธารณะที่ชาวบ้านเคยได้พึ่งพาร่วมกันมาหลายชั่วอายุคน
นอกจากนั้น ผมยังพยายามใช้วาทกรรมอื่นๆ ปลุกเร้าให้นิสิตเห็นคุณค่าของตัวเอง เช่น “กิจกรรมนิสิต คือพันธกิจของการบริการสังคม” ซึ่งวาทกรรมนี้ชี้ประเด็นว่ากิจกรรมนอกชั้นเรียนของนิสิตนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนเก่าก่อนเสียทั้งหมด ไม่ใช่กิจกรรมที่มุ่งแต่เฉพาะ “ตีกลองร้องเต้น” ไปวันๆ หากแต่มีสถานะของการให้บริการวิชาการแก่สังคมเหมือนกัน เพราะกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมที่นิสิตจัดขึ้น ก็ล้วนแล้วหยิบจับความรู้ในตัวตนของนิสิตไปประยุกต์ให้บริการแก่สังคมทั้งสิ้น งแม้จะไม่โดดเด่นแจ่มชัดและทรงพลังเหมือน “นักวิชาการ,นักวิจัย” แต่ก็มีความงามและนุ่มเนียนเกินมองข้ามไปได้
แน่นอนครับ วาทกรรมหลังนี้ ไม่เพียงปลุกเร้านิสิตให้เห็น “ศักยภาพ” หรือ “คุณค่าตัวเอง” เท่านั้น แต่กำลังสะท้อนภาพไปยังมหาวิทยาลัยด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าไม่เคยมาสัมผัสกับกิจกรรมนิสิต ก็โปรดอย่ากรุณาพิพากษาว่านิสิตจัดเป็นแต่เฉพาะกิจกรรมเริงรมย์อย่างเดียวเท่านั้น...
ทั้งปวงนั้น ผมถือเป็นโจทย์ที่ท้ายอย่างมาก เพราะเป็นความแปลกใหม่ที่นิสิตจากคณะต่างๆ ยังไม่คุ้นชิน รู้ทั้งรู้ว่านี่คือกิจกรรมที่ใช้กระบวนการที่บูรณาการ ผมยิ่งท้าทายและไม่ยี่หระที่จะให้นิสิตได้เรียนรู้
กรณีดังกล่าวปรากฏชัดในช่วงที่นิสิตจากสโมสรนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์และวิทยาลัยดุริยางคศิลป์มุ่งหน้าลงสู่ชุมชน โดยมีภารกิจสำคัญคือการเทพื้นใต้ถุนศาลาการเปรียญวัดชัยจูมพลด้วยงบประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นห้องประชุมของพระสงฆ์และชาวบ้านบ้านขามเรียง หรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น ก็สามารถรองรับกรบวนการเหล่านั้นได้อย่างไม่เคอะเขิน
การงานในครั้งนั้นต้องสารภาพตามตรงว่าทั้งสององค์กรเป็น “มือใหม่หัดขับ” จริงๆ...
นอกจากนั้นยังบอกเสริมอีกรอบว่า “เทพื้นศาลาเสร็จ ก็ค่อยต่อยอดด้วยการตรวจสุขภาพ สอนดนตรีและนาฏศิลป์ หรือจะทำบูรณาการไปพร้อมๆ กันก็ได้...”
ระยะแรกเริ่มผมยืนยันกระบวนการบูรณาการสำคัญๆ เพียงไม่กี่อย่าง เช่น การฝากตัวเป็นลูกฮัก เทพื้นใต้ถุนศาลาวัด พัฒนาสิ่งแวดล้อมในวัดและชุมชน ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิถีวัฒนธรรม ตลอดจนการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกเรื่องบ้านเกิดให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้าน
ครั้งนั้น ด้วยความที่ว่าทั้งสององค์กรไม่สันทัดในการงานที่ว่า ผมจึงชักชวนให้ “ชมรมทอฝัน” เข้ามาเป็น “พี่เลี้ยง” อย่างใกล้ชิด โดยให้ถือว่าสมาชิกชมรมทอฝันก็เป็น “ลูกฮัก” ของชาวบ้านขามเรียงด้วยเหมือนกัน
นี่คือภาพสะท้อนเล็กๆ ในเชิงเครือข่ายที่นิสิตควรต้องบูรณาการความร่วมมือมาสู่กัน
นี่คือภาพสะท้อนการบริหารจัดการการเรียนรู้ด้วยการนำพาระบบ “พี่เลี้ยง” เข้ามาประคองการเรียนรู้ให้กันและกัน ...
ซึ่งคาดว่านิสิตคงพอจะเข้าใจและเห็นความสำคัญของการผนึกกำลังในแบบที่ผมหยิบยื่นไปให้
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่ายินดีว่าหลังการขับเคลื่อนกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านไปได้ระยะหนึ่ง มหาวิทยาลัยก็ประกาศนโยบายเชิงรุกเกี่ยวกับ ๑ หลักสูตร ๑ ชุมชน หรือแม้แต่การประกาศให้ปีการศึกษา ๒๕๕๔ เป็นปีแห่งเรื่องจิตสำนึกสาธารณะ โดยมุ่งให้แต่ละคณะนำนิสิตลงเรียนรู้ชุมชน ควบคู่ไปกับการบริการวิชาการแก่สังคม ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่ามหาวิทยาลัยได้ปักธงให้ชุมชนและวัฒนธรรมชุมชนเป็นฐานรากของการเรียนรู้อย่างแท้จริง...
และถัดจากนี้ไปก็คือภาพสะท้อนการเรียนรู้เล็กๆ อันเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของนิสิตที่ผมได้รับรู้มา
“...นิสิตคณะพยาบาลฯและวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านการสร้าง หรืองานค่ายอาสาพัฒนา แต่ก็อดทนต่อการเรียนรู้วิธีผสมปูน วิถีฉาบปูนจากพ่อช่างที่เป็นชาวบ้าน...”
“...นิสิตชมรมทอฝัน มีประสบการณ์ด้านค่ายอาสาพัฒนา ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงนิสิตจากทั้งสองคณะได้เป็นอย่างดี โดยผสมผสานการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงร่วมกับชาวบ้าน บางครั้งเป็นทั้งลูกมือและบางครั้งก็ได้รับมอบหมายให้ผสมปูนและฉาบปูนเอง....”
“...งานมีไม่เยอะ นิสิตส่วนหนึ่งก็ทำหน้าที่ปฏิคมเสิร์ฟน้ำนิสิตและชาวบ้านไปพรางๆ ส่วนหนึ่งแยกไปทำความสะอาดบริเวณวัด เล่นกับเด็กๆ สอบถามเรื่องราวความเป็นมาของชุมชน ...”
ส่วนชาวบ้าน ก็บอกกล่าวกับผมในทำนองว่า
"...ใต้ถุนศาลาวัด ไม่ใช่แต่เฉพาะของชาวบ้าน ถ้านิสิตประสงค์จะมาใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรม ก็ให้มาใช้ได้เลย เพราะมันเป็นมรดกร่วมกัน...”
ขับเคลื่อนด้วย "ใจ" ใช่ "หน้าที่" ;)...
สบายดีนะครับ
มาสนับสนุนแนวปฎิบัติดีๆเช่นนี้ที่เยาวชนร่วมกับชุมชนในการพัฒนาท้องถิ่นด้วยจิตอาสา เพื่อความยั่งยืนค่ะ
มหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน..ปรัชญาที่น่าเอาเป็นตัวอย่างคะ :-)
จากภาพแรก มาภาพสุดท้าย เห็นแล้วภูมิใจ
เมืองไทยจะไปรอด
มีทางออกที่สวยงาม
อยู่ที่นี่ ที่ตรงนี้
ใช้ชุมชนและวัฒนธรรมชุมชนเป็นที่ตั้ง
สวัสดีครับ อ.วัส Wasawat Deemarn
ผมสบายดีครับฯ ฟังข่าวคราวเชียงใหม่น้ำหลากเหลือทน วันก่อนเห็นภาพถนนต้นยางแถวสารภีน้ำท่วม ยิ่งคิดถึงห้วงเวลาที่เคยได้ท่องเส้นทางสายนั้นร่วมกัน...
ดูแลสุขภาพกันให้ถ้วนทั่วนะครับ, สำคัญสุดๆ ก็คือ "สุขภาพใจ" ...
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
ตอนนี้ผมกำลังคิดและวางระบบแนวทางเพื่อผูกโยงเรื่องชุมชนสู่การเรียนรู้ในสองสามประเด็น ครับ
ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายมาก...
สวัสดีครับ คุณ ป.
...จริงๆ แล้วปรัชญามหาวิทยาลัย คือ ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน...
ผมชอบวาทกรรมนี้มาก มันเป็นเรื่องจิตอาสา,เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องพลเมืองของชาติของสังคมโลก แต่การขับเคลื่อนก็เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง ซึ่งยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ...
เหนื่อยครับในบางโอกาส แต่พลังในตัวตนก็มีมากกว่าความเหนื่อยล้า...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ทพญ.ธิรัมภา
สิ่งที่ผมเชื่อและศรัทธาเสมอมาก็คือ "จิตอาสา..คือทางออกของสังคม" ...การเรียนนอกชั้นเรียน คือการเรียนที่ไม่แยกส่วนไปจากชีวิตและสังคม
หลายคนทักผมว่าทำไมต้องวางระบบคิดให้นิสิตเครียดกับกิจกรรม เช่น ลงชุมชนไปทำค่าย ทำไมต้องให้โจทย์การเรียนรู้ชุมชนไปด้วย มันเหมือนเพิ่มภาระงานให้นิสิต ทำงานเสร็จยังต้องมา "โสเหล่" , และถอดบทเรียนเขียนโน่นนี่เป็นเรื่องเล่าเร้าพลัง...
ผมคิดว่า "หนักวันนี้" คือ ทุนที่แน่นหนักเพื่อวันหน้า...
และการเรียนรู้ในแบบฉบับเช่นนั้น เสมือนนำพาให้เขาเรียนรู้เหมือนระดับบัณฑิต/ ป.โท ด้วยซ้ำไป
ขอบคุณครับ
เรียนท่านอาจารย์
"...นี่คือการผลักให้นิสิตได้เผชิญกับการเรียนรู้นอกตำราเรียนอย่างแท้จริง....เป็นการเรียนรู้ที่ใช้ “ชุมชน หรือ "วัฒนธรรมชุมชน” เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่การเรียนที่ใช้ “ความรู้” เป็นตัวตั้ง ..."
....สิ่งที่ผมเชื่อและศรัทธาเสมอมาก็คือ "จิตอาสา..คือทางออกของสังคม" ...การเรียนนอกชั้นเรียน คือการเรียนที่ไม่แยกส่วนไปจากชีวิตและสังคม
..."หนักวันนี้" คือ ทุนที่แน่นหนักเพื่อวันหน้า...
..." มันเป็นเรื่องจิตอาสา,เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องพลเมืองของชาติของสังคมโลก แต่การขับเคลื่อนก็เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง ซึ่งยังต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ...
เหนื่อยครับในบางโอกาส แต่พลังในตัวตนก็มีมากกว่าความเหนื่อยล้า..."
อ่านแล้วชื่นใจ มีความหวัง และภาคภูมิใจแทนเยาวชนที่โชคดี มีครูบาอาจารย์ที่...ห่วงใยและทุ่มเทแรงกายแรงใจเกินร้อยเช่นนี้ค่ะ
ด้วยจิตคารวะ
สวัสดีครับ พี่มนัสดา
ปีงบประมาณ 2555 เป็นอีกปีที่ชุมชนบ้านขามเรียง ได้รับเลือกจากคณะพยาบาลศาสตร์ให้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรม "1 หลักสูตร 1 ชุมชน" ซึ่งมุ่งเน้นไปในเรื่อง "สุขภาพ" ตามสายวิชาชีพนั่นเอง ซึ่งในบางส่วนก็ดำเนินการไปแล้ว เช่น สำรวจสุขภาวะชุมชน นำข้อมูลมาวิเคราะห์และออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์รองรับการให้บริการควบคู่ไปกับการเรียนรู้ชุมชน
ด้วยเหตุนี้ จึงถือโอกาสกลับมาทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกครั้ง
สวัสดีครับ คุณ Tawandin
ในทุกๆ ปัญหา ผมก็พยายามมองเชิงบวกไว้ก่อน
เพราะวิธีการเช่นนั้น ช่วยให้เรามีพลังในการรับมือกับมัน
เรื่องจิตอาสาก็เช่นกัน
ไม่มีทางสร้างได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน...
แต่ต้องบ่มเพาะไปเรื่อยๆ..
ขอบคุณครับ