อนาคตของชาติ(ตัวจริง)


ควรจัดให้มี ”วันฅนแก่” กันบ้าง เพื่อจะได้จัดนิทรรศการให้ฅนแก่เป็น “ฅนเก่งฅนดี” กับเขาบ้าง เพราะถ้าหากฅนแก่เป็นคนโง่และเลวเสียแล้ว อนาคตของชาติไทยและมนุษยชาติโดยรวมคงไม่มีวันหลุดพ้นจากความมืดมนต์

ฅนแก่คืออนาคตของชาติ

 

            เผลอแผล็บเดียวชีวิตของผมก็ผ่านวันเด็กมาแล้ว 48 ครั้ง (บทความนี้เขียนเมื่อ พศ. 2546)  ซึ่งทุกครั้งก็จะได้รับการกรอกหูด้วยวลีหนึ่งอยู่เสมอว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ”  และคนหนุ่มสาวคือ “คนรุ่นใหม่”  ที่กำลังจะชี้นำความก้าวหน้าของสังคม ซึ่งบ่งชี้โดยอ้อมว่า “ฅนแก่คือฅนรุ่นเก่าที่เปรียบดังอดีตของชาติ” ที่รอวันตายและเป็นภาระต่อสังคม

 

เมื่อวัยยังเยาว์ก็ให้รู้สึกภูมิใจในความเป็น ”อนาคตของชาติ” และความเป็น “คนรุ่นใหม่”  ที่ได้รับการยัดเยียดให้จากผู้นำรัฐบาลและสื่อมวลชนมาอย่างต่อเนื่อง แต่บัดนี้เวลาวันเดือนปีซึ่งนำมาซึ่งความแก่ได้บ่มสมองจนสุกดีพอสมควร จึงได้คิดว่ามันน่าจะเป็นตรงกันข้าม  กล่าวคือ...ควรจะตระหนักกันได้แล้วว่า  คนแก่นั้นแหละคือ ”อนาคตของชาติ”  ตัวจริง โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้

 

1)       ฅนแก่(ที่อายุเกิน 40) คือฅนกุมอำนาจในการบริหารชาติบ้านเมืองทั้งหมด เช่น ไม่มีปลัดกระทรวงฅนไหนอายุต่ำกว่า 40 ปี  และไม่มีอธิการบดีมหาวิทยาลัยฅนไหน อายุต่ำกว่า 40 ปี  ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอายุต่ำกว่า 40 เป็นต้น

2)       ฅนแก่เป็นฅนวางนโยบายชาติ ที่นำไปสู่การอนุมัติงบประมาณชาติให้ทำโน่นทำนี่เพื่อเด็กๆ รวมทั้งงบประมาณจัดงานวันเด็ก และงบประมาณจัดทำป้ายประกาศคำขวัญว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” (ทั้งนี้เพื่อเอาใจผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ของเด็ก เพราะเขามีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้นักการเมืองที่บอกว่ารักลูกของเขา)

3)       ฅนแก่เป็นฅนวางนโยบายและแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งแผนพัฒนาเด็ก(อนาคตของชาติ) และเยาวชน (คนรุ่นใหม่ของชาติ)

4)       ฅนแก่เป็นครูสอนเด็กให้ทำโน่นทำนี่

5)       ฅนแก่เป็นแบบอย่างของเด็ก

 

                ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า อนาคตของเด็ก (ที่เป็นปัจจุบันของชาติ) อยู่ในกำมือของฅนแก่อย่างเสร็จสรรพแล้ว ดังนั้น ฅนแก่จึงคือ “(ผู้กำหนด)อนาคตของชาติ” อย่างแท้จริง

                ดังนั้น เราจึงควรจัดให้มี ”วันฅนแก่” กันบ้าง เพื่อจะได้จัดนิทรรศการให้ฅนแก่เป็น “ฅนเก่งฅนดี” กับเขาบ้าง เพราะถ้าหากฅนแก่เป็นคนโง่และเลวเสียแล้ว อนาคตของชาติไทยและมนุษยชาติโดยรวมคงไม่มีวันหลุดพ้นจากความมืดมนต์ เพราะว่าเด็กในปัจจุบันแม้จะเก่งสักปานใดก็ตาม หากไม่ได้รับงบประมาณและการดูแลจากฅนแก่ผู้กุมชะตาบ้านเมืองในปัจจุบันเสียแล้ว ก็คงจะไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้สักเท่าใด

                ดังนั้นหากอยากพัฒนาชาติให้ดี ก็จงอย่าทอดทิ้งคนแก่ ต้องเร่งทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาคนแก่ให้เป็นคนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ และฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพื่อทำให้ตนเป็นคนเก่ง คนดี มีวิสัยทัศน์ ทั้งทางโลกธรรมและคุณธรรม เพื่อพัฒนาตนให้เป็นอนาคตอันสดศรีแก่สังคมและประเทศชาติสืบไป

 

ขอเสนอว่ารัฐบาลควรจะทุ่มงบประมาณพัฒนาคนแก่ให้มากที่สุด โดยไม่ต้องไปสนใจเด็กมากนักหรอก เพราะถ้าคนแก่ดีเสียแล้วเด็กจะดีตามมาเองโดยอัตโนมัติ หากคนแก่โง่และเลว พวกเด็กๆก็คงโง่และเลวไปด้วย ไม่ว่าจะทุ่มงบพัฒนาเด็กสักเท่าใดก็ตาม

                ต้องใช้งบเพื่อปรับพฤติกรรมคนแก่ที่เลวๆ ให้กลายเป็นคนแก่ที่ดีๆให้ได้  จริงอยู่...ไม้แก่ดัดยาก แต่หากดัดได้สักครั้งเดียวก็จะตรงไปตลอด เพราะไม้แก่นั้นเมื่อตรงแล้วจะดัดให้งออีกก็ยิ่งยากกว่าตอนดัดให้ตรงเสียอีก เพราะมันจะเกิดความแกร่งที่เกิดจากการดัด

                เลิกคิดว่าคนแก่เป็นภาระสังคมเสียที (เช่นด้วยการให้เบี้ยยังชีพโดยไม่ต้องทำอะไร) เลิกหมดหวังในและส่ายหน้าต่อคนแก่เสียที หันมาดัดไม้แก่กันให้มาก โดยเฉพาะไม้แก่ที่มีอำนาจทางการเมืองมากๆ

 

I know the  future for I used to be the future of my nation.

 

.........ทวิช จิตรสมบูรณ์

หมายเลขบันทึก: 459677เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2011 15:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 20:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท