คุณภาพชีวิต..กรณีศึกษาชาวอามิช


ก่อนอื่นสังคมของเขามีวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างเป็นระบบว่าคุณภาพชีวิตคืออะไร ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายและแม้กระทั่งหลังจากตายแล้ว

เศรษฐกิจและเทคโนโลยีพอเพียง : กรณีศึกษาชาวอามิช

 

หมายเหตุ: ผู้เขียนเคยอาศัยอยู่ที่มลรัฐโอไฮโอ usa เป็นเวลา ๕ ปี ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชุมชนชาวอามิชหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกประทับใจกับวิถีชีวิตของพวกเขามาก จึงได้เขียนบทความนี้ไว้เป็นที่อนุสรณ์ ..เขียนเมื่อปีพศ. ๒๕๔๗

               

วิถีการดำรงชีวิตของชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า “อามิช” (Amish) ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 2 แสนคน เป็นวิถีชีวิตที่น่าศึกษาและน่าสนใจมาก เพราะกลุ่มชนนี้ไม่ยอมรับการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ยังคงดำเนินชีวิตแบบในยุโรปสมัยก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม คือเดินทางโดยรถม้า ทำไร่ไถนาโดยใช้แรงงานสัตว์ทั้งสิ้น พวกเขาให้เหตุผลโดยหลักการว่าหากใช้เทคโนโลยีมากจะทำให้ “คุณภาพชีวิต” ของพวกเขาตกต่ำลง          

จะเห็นได้ว่าคำว่า “คุณภาพชีวิต” ที่เราคิดว่ารู้จักกันดีนั้น มีคำนิยามที่ไม่เป็นสากล เพราะขึ้นอยู่กับการตีความของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วย ชาวอามิชเห็นว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขาคือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สงบเสงี่ยม ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ทำการเกษตรแบบพอมีพอกิน และดำเนินชีวิตตามประสงค์ของพระเจ้าเพื่อชีวิตนิรันดร์ในปรโลก พวกเขาได้ดำรงชีวิตอย่างนี้มาเป็นเวลาประมาณ 500 ปีแล้ว กฎสังคมโดยทั่วไปของชาวอามิชมีดังนี้

-         ไม่ใช้กระแสไฟฟ้า (ใช้ตะเกียง)

-         ไม่ใช้รถยนต์ รถแทรคเตอร์ เครื่องยนต์กลไกทั้งหลาย (ใช้รถม้าและแรงงานสัตว์)

-         แต่งกายมิดชิด สีเข้ม เรียบง่าย เป็นเครื่องแบบเหมือนกันทุกคน

-         ไม่ใช้โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ เครื่องอำนวยความสะดวกที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย

 

เหตุผลหลักที่ห้ามใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะเขาเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ  หากใช้มากเท่าใดก็จะทำให้ทำให้เกิดความเสื่อมทั้งต่อตนเองและต่อสังคมดังนี้

-         ทำให้เกิดความโอ้อวดและความหยิ่งผยอง

-         ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม

-         ทำให้สนใจครอบครัวและสังคมน้อยลง (สนใจเทคโนโลยีแทน)

-         ทำให้จิตใจหยาบกระด้างและโน้มเอียงไปทางรุนแรง (ชาวอามิชเป็นพวกอหิงสาอย่างยิ่ง)

-         ทำให้ห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้น (ชาวอามิชเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาคริสต์)

 

ทั้งนี้เพราะชาวอามิชถือว่าคุณภาพชีวิตของเขาคือ การอยู่ใกล้ชิดกับสมาชิกครอบครัวและสังคมเพื่อนบ้าน หากใช้เทคโนโลยีมากเกินจำเป็นก็จะทำให้ห่างเหินกันมากเกินจำเป็นด้วย เช่น อาจดูโทรทัศน์อยู่คนเดียวโดยไม่ติดต่อกับใคร หรือคุยโทรศัพท์นินทาว่าร้ายคนอื่นได้ง่ายเป็นเวลานาน นำความเสื่อมถอยมาสู่สังคมได้ นอกจากนี้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะ พอมีพอกิน ประหยัด สุภาพ เรียบง่าย รักสงบ ตามแนวทางของพระเยซูไครสต์เพื่อเป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ในที่สุด

แต่จริงๆ แล้วชาวอามิชไม่ได้ปฎิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิงพวกเขาจะประชุมเพื่อตกลงร่วมกันว่าเทคโนโลยีใดจำเป็นก็จะรับไว้และรับในปริมาณที่เหมาะสมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น พวกเขายอมรับให้เก็บนมวัวในถังแสตนเลสที่มีเครื่องกวนไฟฟ้าได้ เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำตามกฎกระทรวงเกษตรเพื่อที่จะได้รับการรับรองว่าสะอาดพอที่จะขายในท้องตลาดได้ การใช้โทรศัพท์ในกรณีจำเป็นเช่น เรียกหมอ ก็ทำได้ การใช้รถยนต์เพื่อไปโรงพยาบาลแบบฉุกเฉินก็กระทำได้

วิธีการและระดับของการยอมรับเทคโนโลยีของชาวอามิชนับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ก่อนอื่นสังคมของเขามีวิสัยทัศน์ร่วมกันอย่างเป็นระบบว่าคุณภาพชีวิตคืออะไร ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายและแม้กระทั่งหลังจากตายแล้ว จากนั้นเขาจะประชุมร่วมกันว่าจะยอมรับเทคโนโลยีใดหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเทคโนโลยีนั้นจะมาช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น หรือมาบั่นทอนให้ลดลง  ในขณะที่สังคมของประเทศไทยเปิดกว้างยอมรับเทคโนโลยีทุกอย่างโดยไม่ค่อยได้วิพากษ์ไตร่ตรองและประชุมหารือกันเลย ส่วนใหญ่ก็มักอ้างกันแต่เพียงว่าหากไม่ยอมรับก็จะทำให้ตามโลกเขาไม่ทัน แต่ไม่แน่ใจนักว่าตามไปที่ไหนและมีจุดหมายอยู่ที่ใด  ส่วนชาวอามิชมีจุดหมายชีวิตที่ชัดเจนว่าต้องการไปอยู่กับพระเจ้า

ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ คุณภาพชีวิตของชาวอามิชนั้น หมายรวมถึงความสุขสามประเภท คือความสุขทางกาย ความสุขทางอารมณ์(พวกอามิชก็ร้องรำทำเพลงด้วย) และความสุขทางจิตวิญญาณ  ในความเห็นของผู้เขียนนับได้ว่าเป็นนิยามที่มีความสมดุลกว่านิยามของคนทั้งหลายในโลก ซึ่งมักเอากันแค่ความสุขทางกายหรืออย่างมากก็เพิ่มทางอารมณ์ด้วยเท่านั้น

 

หมายเหตุ ความเชื่อด้านศาสนาของชาวอามิชแยกตัวออกมาจากกระแสหลักของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกและโปรแตสแตนเมื่อประมาณ คศ. 1500 ทำให้ถูกพวกกระแสหลักเข่นฆ่าอย่างทารุณเป็นจำนวนมาก จนต้องอพยพหนีไปอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ยังถูกตามรังแก จึงต้องอพยพไปอยู่อเมริกาในราวปี คศ. 1850 ปัจจุบันส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในตอนกลางด้านเหนือของอเมริกา ในรัฐโอไฮโอ เพนซิลเวเนีย และอินเดียนา เป็นต้น แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมมากในแต่ละปี แต่ชาวอามิชก็ยังคงวิถีชีวิตแบบพอเพียงได้อย่างคงเส้นคงวาตลอดมา

 

ตัวผู้เขียนเองเมื่อปีคศ. 1995 เคยร้องขอและได้รับอนุญาตให้ไปพำนักกับครอบครัวอามิช ๑ เดือนก่อนเดินทางกลับประเทศไทย แต่ติดภารกิจวุ่นวายเสียก่อน เลยไม่ได้ไป ยังเสียดายโอกาสอยุ่จนวันนี้

 

...คนถางทาง (๒๕๔๗)

หมายเลขบันทึก: 459671เขียนเมื่อ 10 กันยายน 2011 14:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 14:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

simply living , high thinking ... so sound interesting na kha :)

ตัวผมเองชื่นชมชาวอโศกมาก ที่ริเริ่มชุมชนอโศกขึ้นมาให้เป็นทางเลือกของประเทศไทย สักวันอาจไปเป็นสมาชิก

  • อยู่อย่างง่ายๆ แต่มีสาระและความหมาย..ทั้งต่อตนเอง และสังคม

ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ  ผมเคยไปเที่ยวชมมาครั้งหนึ่งดูดีเหมือนว่า

แต่มีข่าวออกมาว่า ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนไม่จำกัดจำนวน(คุณผู้ชายคงชอบ)

เด็กหนุ่มๆสาวๆหนีออกมาสู่โลกภายนอก ยากที่จะอยู่ในสังคมแบบธรรมชาติ

มีดีก็มีเสียอยู่ด้วยครับ 

ท่านคนบ้านไกลครับ เรื่องผู้ชายมีเมียได้หลายคน ผมไม่เคยได้ยินนะครับ ..ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะพวกนี้เป็นคริสต์ที่เคร่งมากครับ (ที่ท่านว่า ถ้าจริง อาจเป็นกลุ่มที่แยกตัวออกไป )

แต่ถ้ามันเป็นไปแล้วก็ไม่เห็นผิดตรงไหน เราต้องไม่มองเขาด้วยกรอบของเราครับ

ปัญหาของพวกอามิชคือ in breeding เพราะเป็นสังคมเล็กๆ ทำให้ต้องสืบพันธุ์กันเองในหมู่ญาติมิตรที่มีสายพันธุกรรมไม่หลากหลาย ทำให้เกิดโรคเฉพาะทางได้มาก ..แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องกายเท่านั้น

ผมยังกราบขอบคุณชาวอามิช มาจนวันนี้ ที่พวกเขามีความกล้าหาญ ที่จะเป็นตัวตนของตนเอง กล้าคัดค้านวัฒนธรรมหลัก และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แถมอาหารของพวกเขานั้นสะอาด ถูก อร่อย อีกด้วย

สาวอามิช ก็สวยมาก สวยเรียบๆ (ไม่สวยสะอาดบาดใจ สวยแบบไทย คล้ำไอไศลแดดลม ...ทำนองนั้น)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท