เวลาที่เมืองพาราณสีประเทศอินเดียกับเมืองไทย...หลังเราประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งครับ
ใกล้รุ่งวันหนึ่งเมื่อ 2549 ปีผ่านมาแล้ว...ลูกเศรษฐี...ชายหนุ่มเดินตรงจากบ้านมุ่งสู่ป่าอิสิ
ปตนมฤคทายวัน...
ขณะนั้น...พระพุทธเจ้าเสด็จเดินจงกรมอยู่...ได้ยินชายหนุ่มบ่นมาว่า..
ที่นี้วุ่นวายหนอ...ที่นี้ขัดข้องหนอ...พระพุทธเจ้าตรัสขึ้นท่ามกลางความมืดนั้นว่า...ที่นี้
ไม่วุ่นวาย...ที่นี้ไม่ขัดข้อง...ขอเชิญท่านเดินมาทางนี้เถิด...
บุรุษนั้นได้เดินตามเสียงแห่ง
พุทธธรรม...ซึ่งเป็นผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง...เขาถอดรองเท้าทองคำคู่นั้นไว้แล้วเข้าไปสู่
พุทธสถาน...เขาแนะนำตัวเองว่า...ชื่อ ยสะ บุตรชายของเศรษฐีเมืองพาราณสีแม่ชื่อนางสุชาดา...ผู้ที่ถวายก้อนข้าวพร้อมถาด...ที่พุทธคยา...นั้นเองครับ
และถนนพุทธภูมิหรือพุทธโคดม...ต้นทางก็เป็นบ้านของพระยสะ...ระยะทางประมาณ 9 กิโล ดังกล่าวแล้วครับ
ที่นี้...ยังเป็นจุดกงล้อแห่งพุทธธรรมได้หมุนขึ้นแล้วเป็นแห่งแรก...มีการส่งพระอรหันตสาวก 60 รูป ออกไปประกาศพุทธธรรม...เพื่อประโยชน์และความสุขของ
พหุชน...ชาวโลก...
ปัจจุบัน...เหลือเพียงร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีต...ผมเดินอยู่บริเวณนั้น
เหมือนทะลุผ่านกาลเวลา...ช่วงพุทธกาล...จินตนาการเห็นภาพอดีต...เหล่านั้นด้วยความ
ชื่นชม...และน้อมคารวะ...ต่อสิ่งที่ถูกต้องดีงามทั้งหลายเหล่านั้น...ด้วยความจริงใจ...
โปรดติดตามตอนต่อไป ด้วยความปรารถนาดี
จาก...umiสวัสดีคะอาจารย์...
การไปอยู่ในสถานที่จริงพร้อมรำลึกถึงเรื่องเล่าที่ผ่านมา...ก็อาจทำให้เรารู้สึกซึมซาบ...เสมือนว่าได้ย้อนไปในอดีตนั้น...
....
เมื่อกะปุ๋มตามไปย้อนรอยจริง...คงอาจได้ร่วมรู้สึกอย่างที่อาจารย์...รู้สึกก็อาจเป็นได้นะคะ...
ด้วยความศรัทธาคะ
กะปุ๋ม
สวัสดีครับ คุณกะปุ๋ม
อาจเป็นเช่นนั้น...ในความเป็นมนุษย์โลก...เพราะ
สิ่งที่เหมือน ๆ กัน...ทำให้เราเข้าใจกัน...เช่น...ความหิว...ความดีใจ...สิ่งที่ต่างกัน...เช่น...อยู่คนละมุม...ขอบประเทศ...ทำให้เราสนใจกัน...
และในโลกนี้สิ่งที่ไม่เคยล้าสมัยเลยคือรอยยิ้มที่เรามีให้แก่กัน...ให้หมด...ก็ได้หมด...ถ้าเก็บหมด...ก็สูญหมด...ครับ
ด้วยความปรารถนาดี
จาก...umi