ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่เสียดายเวลาและเสียใจว่าไม่น่าผัดวันประกันพรุ่งเลย
ครั้งแรก เมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน
ได้เจอเพื่อนร่วมงานเก่าก่อนที่จะย้ายมาที่ทำงานปัจจุบัน
พี่เค้าป่วยมาที่โรงพยาบาลแล้วแพทย์ให้นอนโรงพยาบาล
ก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมบอกตัวเองว่างานยุ่งขอเคลียร์งานก่อน
ดูพี่ไม่เป็นอะไรมากแล้วไม่เคยป่วยมาก่อน
สุดท้ายพี่เค้าเสียชีวิต บอกตัวเองว่ายังไม่ได้ลา ยังไม่ได้พูดคุยเลย
ครั้งที่สองเป็นเพื่อนที่อยู่บ้านใกล้กันตอนเด็ก ไม่มีโรคประจำตัวใดๆมาก่อน
รู้ว่าเพื่อนนอนโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง แน่นท้อง
ตอนนั้นเตรียมงานใหญ่ที่สุดของโรงพยาบาลอยู่
บอกตัวเองว่ารอให้เสร็จงานก่อน เหลือแค่ 4 วันเท่านั้นจะไปเยี่ยม
พอเสร็จงานจะไปเยี่ยม ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯพอดี
ก้อบอกตัวเองว่าขอพักก่อน 1 วัน พรุ่งนี้จะตามไปเยี่ยม แต่เพื่อนเสียชีวิตก่อน
ครั้งที่สามเป็นน้องพนักงานขับรถของโรงพยาบาล
หอบใส่ท่อช่วยหายใจส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดตอนดึก
รู้ข่าวตอนเช้า พอดีวันนั้นต้องแต่งเครื่องแบบชุดขาวรอรับไฟพระราชทานงานศพ
ก้อผลัดว่าเสร็จงานก่อนจะเลยไปเยี่ยม
ลงจากงานเผาศพลงมาเค้าบอกว่าน้องเสียชีวิตแล้ว
สามครั้งนี้เป็นบทเรียนให้ตัวเองว่า เรื่องการดูแล เยี่ยมเยียนคนใกล้ชิดที่เจ็บป่วย
อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่ง เพราะว่าเราอาจจะไม่ได้บอกรัก ไม่ได้ล่ำลา
เค้าอาจจะจากไปโดยไม่รู้ว่าเรารัก แล้วจงทำทุกๆวันให้ดีที่สุดสำหรับคนใกล้ชิดทุกคน
สวัสดีค่ะพี่เล็ก
เหมือนอาจารย์แม่แอ้ "พรวรินทร์" ว่ามั้ยคะ อยากทำอะไรทำเลย อย่ารอ เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร แล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า ทำไม่ไม่อย่างนี้เมื่อวันนั้น
สวัสดีค่ะน้องชูศรี
ใช่เลยค่ะ อารมณ์นั้นเลย ตอนไปงานSHAชั่วโมงที่ อาจารย์พรวรินทร์บรรยายประทับใจมากค่ะ
อ่านแล้วได้ข้อคิดเป็นอย่างดีเลยเกี่ยวกับการที่เราได้แต่คิดและคิดเอาเอง
หากอยากทำอะไรแล้วให้รีบตัดสินใจทำโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายเวลา
ที่ผ่านไปโดยที่เราเรียกร้องให้กลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว....
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะและขอบคุณที่แวะไปทักทายที่บันทึกค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณ krugui