ทำไมเด็กไทยไอคิวต่ำ


เพราะแม่งูแม่ปลามันไม่สอนลูกหรอก มันปล่อยให้ลูกมันไปหาเรียนรู้เอาเอง ควายมันฉลาดขึ้นมาหน่อยที่ยังสอนลูกให้กินหญ้า นี่เราคนแท้ๆ จะไปเอาอย่างงูอย่างปลาเจียวหรือ

ทำไมเด็กไทยไอคิวต่ำ

(บทความนี้เขียนลง ผจก.ออนไลน์ ไว้นานแล้ว วันนี้เอามปรับเล็กน้อยแล้วกระจายต่อเพื่อสะกิดสังคมไทยให้กระเจิงไกลไปอีกขยัก)

ได้ฟังอยู่เนืองๆว่าระดับความฉลาด (ไอคิว) เฉลี่ยของเด็กไทยในวันนี้ประมาณ  88 เท่านั้น ในขณะที่เด็กปกติควรอยู่ในช่วง 90-110  ซึ่งสอดคล้องกับที่ผมได้ประสบมากับตนเอง และจากการสอบถามจากเพื่อนคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าเด็กไทยวันนี้ระดับความสามารถในการเรียนรู้ต่ำมากๆจนน่าตกใจ

สาเหตุของการโง่หรือฉลาดนั้นเราท่านต่างตระหนักกันดีอยู่เช่นคือ กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม การสอนของครูบาอาจารย์ และ อาหาร

เรื่องกรรมพันธุ์นั้นผมไม่ห่วงนัก เพราะผมมีหลักฐานให้เห็นอยู่ในพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีไทยโบราณที่ผมเป็นผู้ก่อตั้งและดำเนินการอยู่ ที่แสดงให้เห็นว่าบรรพชนไทยเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ฉลาดที่สุดในโลก

 

การเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมมีปัญหาพอควร เพราะในช่วง 40 ปีที่ผ่านมานี้สังคมไทยเปลี่ยนไปเร็วมาก ที่เดินตามวัฒนธรรมตะวันตกอย่าบ้าคลั่ง ทำให้องคาพยพเดิมไม่สามารถปรับตัวตามได้ทัน จึงเกิดอาการฟั่นเฟือนซึ่งส่งแรงกระทบไปถึงพฤติกรรมของเยาวชนเป็นอย่างมากด้วย  (บ้ายา บ้าเซ็กส์ บ้าดารา ไม่สนใจการเรียน)

 

ระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนก็เปลี่ยนไปมาก ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมครูที่เปลี่ยนไปตามกระแสโล”ภา”ภิวัฒน์ กล่าวคือครูส่วนหนึ่ง (ส่วนมากเสียด้วย) สอนหนังสือเป็นงานรองแล้วทำงานอื่นเป็นงานหลักเช่น ค้าขาย นายหน้า  โดยอ้างว่าเงินเดือนไม่พอกิน ซึ่งก็พอมีส่วนจริงอยู่ แต่ก็ต้องถามด้วยว่าครูกำลังใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า ในวันนี้ที่เราตามกระแส “โลภาภิวัฒน์”   ทุกคนต่างอยากรวยด้วยกันทั้งนั้น แต่คนในบางอาชีพ ที่เป็นหลักชัยให้สังคม ต้องมีจุดยืนว่าขอพอมีพอกินก็พอแล้ว เช่น พระ หมอ ครู ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลสามเหล่าของไทยเรา ในวันนี้พระหมอดีๆแทบไม่เหลือแล้ว ส่วนครูยังพอมีหวัง โดยเฉพาะถ้ามีแรงส่งจากรัฐ

 

เมื่อครูมีภาระงานด้านการหาเงิน ก็แน่นอนว่าประสิทธิภาพการสอน การพัฒนาวิชาชีพครู  และการอุทิศเวลาให้นักเรียนก็ต้องลดลง ส่งผลถึงไอคิวนักเรียนในที่สุด

 

วิธีการสอนก็มีส่วนสำคัญ โดยในวันนี้โรงเรียนทั้งหลายต้องปฏิบัติตามพรบ. การศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดให้ใช้วิธีการสอนแบบ “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” (นศก.)  ผมเข้าใจว่าข้อกำหนดนี้นำมาสู่วิธีการสอนที่ใช้ “ใบงาน” เป็นหลัก ทุกวันนี้ครูเขาไม่สอนกันแล้ว แจกแต่ใบงานให้เด็กไปค้นหาความรู้ “ด้วยตัวเอง” แล้วเอามากรอกในใบงาน เอามาส่งครู แล้วบอกว่านี่ไง นศก.  ซึ่งผมว่านี่เป็นการทำลายชาติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

 

ผมเริ่มสังเกตเห็นความตกต่ำครั้งใหญ่ของการศึกษาในมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีที่แล้ว (พศ. ๒๕๕๐)  ซึ่งเป็นปีที่เด็กนักเรียนม.๔  ที่เริ่มใช้การสอนแบบนศก. จบม. ๖ แล้วเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ปรากฎว่าเด็กชุดนี้และชุดถัดมาจนวันนี้มีอัตราตกออกมากกว่าในอดีตมาก และผลการเรียนในชั้นเรียนก็ตกต่ำกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ผมจึงขอวิงวอนรัฐบาลให้สอบสวน และ ทบทวนการสอนแบบนศก. ด่วนที่สุด ก่อนที่มันจะทำความเสียหายต่อชาติมากไปกว่านี้ หวนกลับไปสอนแบบ คศก. (ครูเป็นศูนย์กลาง) แบบเดิมเถอะครับ เพราะนศก. นั้นมันเป็นการสอนแบบงูๆปลาๆแค่นั้นเอง เพราะแม่งูแม่ปลามันไม่สอนลูกหรอก มันปล่อยให้ลูกมันไปหาเรียนรู้เอาเอง ควายมันฉลาดขึ้นมาหน่อยที่ยังสอนลูกให้กินหญ้า นี่เราคนแท้ๆ จะไปเอาอย่างงูอย่างปลาเจียวหรือ   

แล้วมันผู้ใดที่มากำหนดให้สอนด้วยวิธีนี้ก็ช่วยกันเอามาประจานด้วย ที่ไปลอกฝรั่งมาใช้ แบบผิดๆไม่ลืมหูลืมตาจนก่อความเสียหายไปแล้วคิดเป็นตัวเงินผูกพันระยะยาวเท่าไรลองคิดกันดู (ท้าได้เลยว่าไม่กล้าขุด เพราะกลัวเจอตอ แถมยังจะสร้างอนุสาวรีย์ให้คนพวกนี้อีกต่างหาก มีมากในทุกวงการ ไม่เฉพาะแต่ในวงการการครู แม้ หมอ พระ และสารตะ ก็มีเหมือนกันหมด ที่ผู้นำโง่ทุบหัวโต๊ะแล้วลูกน้องรับเอาไปทำลายชาติ ..อุบาทว์แท้ๆ ...อัดอั้นนะเนี่ย ขอระบายในที่นี้สักหน่อย)

 

เรื่องอาหารการกินนั้นก็สำคัญมาก เพราะมันมีอาหารที่บำรุงสมอง และที่ทำลายสมอง

 

รัฐบาลไทย (อีกแล้ว) ก็ไปส่งเสริมให้เด็กนักเรียน ”กินนมวัว”  คิดกันไปได้โง่ๆว่ากินแล้วคงจะฉลาดแบบพวกฝรั่ง และจะตัวใหญ่เหมือนฝรั่งด้วย กระดูกแข็งแรงอีกต่างหาก ผมว่ามันจะตรงข้ามเอาหมดนะ เพราะถ้ากินนมวัวแล้วฉลาดจริงป่านนี้ลูกวัวมันคงฉลาดกว่าคนไปแล้ว ไม่ต้องถูกจับเอามาไถนา หรือมาเป็นเนื้อเสต็กหรอก ฝรั่งนั้นเขาถูกบังคับโดยธรรมชาติของภูมิอากาศให้ต้องกินนมวัว (หิมะตกครึ่งปีไม่มีผักกิน ก็ต้องเอาฟางแห้งมาเลี้ยงวัวให้วัวกลั่นหญ้ามาเป็นนมให้กินอีกต่อพอกันตาย)  ฝรั่งอาจจะฉลาดกว่านี้ด้วยซ้ำถ้ามีอาหารอื่นกินแทนนมวัวแบบเรา เช่น กระถิน ใบแค  ใบยอ ขี้เหล็ก ข้าวซ้อมมือที่มีแคลเซียมสูงกว่านมวัวเสียอีก แถมวิตามินสำคัญเพียบแปล้ และไขมันน้อยกว่านมวัวมาก

 

แล้วธรรมชาติคนไทยเรานั้นต้องตัวเล็กจึงจะสอดคล้องกับภูมิอากาศร้อนชื้น ถ้าตัวใหญ่เกินไปจะมีโรคมาก เนื่องเพราะร่างกายถ่ายเทความร้อนไม่ทัน ไม่เชื่อผมท้าให้ลองวิเคราะห์สถิตดู 20 ปีจากนี้ไปคนไทยตัวใหญ่จะมีโรคมากกว่าคนตัวเล็กอย่างชัดเจน

 

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือเด็กเรากินอาหารปนสารพิษมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว สมองมันเลยถูกทำลายตั้งแต่เป็นตัวอ่อน  ทั้งนี้เป็นเพราะวิธีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ของเราในช่วง 40 ปีที่ผ่านมานิยมใช้สารเคมีกันมาก (ถูกฝรั่งมาหลอกให้ใช้) จนมีสารตกค้างมาก และผ่านซึมเข้าไปทำลายสมองของเด็กๆเราในที่สุด

เรื่องสารพิษในอาหารนี้กระทบไม่ใช่แต่สมองเด็ก สมองผู้ใหญ่ก็กระทบด้วย จนทำให้ผู้ใหญ่ไทยวันนี้โดยเฉพาะนักการเมือง (เพราะพวกนี้”กิน”มากกว่าคนอื่น)  สมองฝ่อกันหมด คิดอะไรไม่ค่อยออก ต้องคอยแต่ตามก้นฝรั่งในทุกเรื่องตลอดไป  

 

...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๘ พย. ๕๓)

 

หมายเลขบันทึก: 458088เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2011 17:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 05:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ต้องเอาคนฉลาด คนดี คนมีจิตวิญญาณสูงมาเป็นครูครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท