You are what you shit (and eat)


อยากตัวใหญ่เหมือนฝรั่ง..ระวังงั่งเหมือนฟาย

 

 

วันนี้หันไปทางไหนเจอแต่เรื่องการเมืองที่ร้อนรุ่ม ดังนั้นเลยขอเขียนเรื่องเบาๆบ้าง แต่รับรองว่าด้วยศิลปะการนำเสนอเฉพาะตัวของผม เรื่องเบาๆ ก็อาจกลายเป็นหนักได้เสมอ

 

ผมได้เขียนบทความเรื่อง... (จำไม่ได้แล้ว)  ประมาณว่า  “ดื่มน้ำวันละแปดแก้ว ระวังตายไว”  ปรากฎว่ามีท่านผู้อ่านเขียนชมและด่าต่อท้ายบทความมากพอกัน

 

พวกด่านั้นส่วนมากจะหยาบคาย ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าสังเกตว่าวันนี้คนไทยเราหยาบคายมากกว่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะพันธุกรรมผิดเพี้ยนเนื่องจากกินอาหารแบบฝรั่งมากเกินไป (เนื้อ นม ไข่)  เสริมด้วยอินเตอร์เน็ทที่สามารถด่าคนอื่นเล่นได้โดยไม่ต้องแสดงตน คนพวกนี้..รับรองได้ว่าถ้าอยู่ต่อหน้านักการเมืองอำนาจสูง พวกเขาจะสุภาพคาบแก้วกันหมด

 

วันนี้ผมมาเสนอแนวคิดที่สุ่มเสี่ยงต่อการด่าอีกแล้ว โดยแนวคิดนี้คิดไว้แต่เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ได้เขียนเสนอไปตามที่ต่างๆไว้มากแล้ว รวมทั้งสอดแทรกสอนเด็กๆนศ.ไว้หลายรุ่น

 

คือผมเห็นว่าเด็กไทยวันนี้ตัวโตขึ้นเป็นลำดับ ความสูงเฉลี่ยอาจสูสีฝรั่งเข้าไปแล้ว ผมเกิดปีพศ. ๒๔๙๘ สมัยผมเป็นวัยรุ่น สถิติความสูงชายไทยเฉลียอยู่ที่ ๑๖๕ ซม. ตัวผมเองสูง ๑๖๘ ซึ่งในตอนนั้นก็แอบภูมิใจว่า..เออเรานี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยอีกนะ  (แต่หวนกลับมาคิดวันนี้กลับคิดว่า...แล้วกรูจะภูมิใจไปหาหอกอันใดไม่ทราบ)

 

วันนี้ผมเดินไปในมหา’ลัย เบียดไหล่นศ.หญิงชายทุกวัน เห็นได้ชัดว่าผมกลายเป็นคนแคระไปแล้ว คะเนว่าความสูงเฉลี่ยของคนหนุ่มไทยวันนี้น่าจะประมาณ ๑๗๕ ซม.  ส่วนไอ้พวกยักษ์ใหญ่ สูง  ๑๙๐ หนัก ๑๐๐ กก. นั้นมีให้เห็นไม่น้อยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นสมัยผมเด็กๆ พวกนี้รับรองว่าเป็นมหาเศรษฐีกันหมด เพราะแมวมองภาพยนตร์ไทยจะเอาไปแสดงหนังเป็นพวกพิเศษกันหมด เช่น ตัวตลก ยักษ์ ผู้ร้าย

 

แต่..ช้าก่อน พอผมไปรับปริญญาหลานที่ม.ดังใน กทม. ผมกลับเห็นว่าตัวผมไม่ได้เตี้ยกว่าค่าเฉลี่ยเท่าไรนักหรอก   คะเนว่า นศ. กทม. ผิวขาว หน้าเกาตี๋ทั้งหลายนั้นประมาณ ๑๗๐ เห็นจะได้  เตี้ยกว่าลูกหลานรากหญ้าม.บ้านนอกของผมถึง ๕ ซม. ถือว่ามีนัยสำคัญมากทีเดียว แล้วผมจะมาเฉลยทีหลังว่าเป็นเพราะอะไร และมันมีนัยยะต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทย อย่างไร

 

ย้อนไปที่มหานครลอนดอน อังกฤษ ที่ผมได้มีโอกาสไปเยือนเมื่อสักพศ. ๒๕๔๖  ด้วยเหตุผลทางวิชาการ ผมเอะใจมากกว่าทำไมผมถึงไม่ได้มีร่างกายที่เตี้ยไปกว่าคนลอนดอนเลย ฝรั่งหลายคนเตี้ยกว่าผมเสียอีก ดูหน้าตาก็เห็นว่าเป็นอังกฤษแท้ ไม่ใช่พวกอพยพ

 

พอผมไปเมืองนาหระ (สุโขทัยของญี่ปุ่น) ก็เห็นว่าประตูทางเข้าบ้านไม้เก่าของคนญี่ปุ่นนั้นเตี้ยมากทุกบ้าน จนผมต้องก้มหัวมากจึงจะเข้าไปได้ ขอบประตูด้านบนไม่น่าสูงกว่า 155 ซม. ทุกบ้านเลย แต่ทุกวันนี้เด็กญี่ปุ่นสูงเฉลี่ยน่าจะพอกับเด็กไทย คือประมาณ 172 ซม.

 

ดูเหมือนว่าในเอเชียเรานี้ ค่าเฉลี่ยความสูงของเด็กวัยรุ่นกลายเป็นตัวชี้วัดระดับการพัฒนาชาติไปเสียแล้ว คงเพราะว่าพวกนักการเมืองหน่อมแน้มทั้งหลายเห็นกันว่ามันแสดงให้เห็นถึงการมีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ จนสามารถ “เทียบกับฝรั่ง” ได้ สรุปคือถ้าตัวใหญ่เท่าฝรั่งได้เมื่อใด ก็แสดงว่าเราเจริญเท่าฝรั่งแล้วนั่นเอง ..มันคิดกันได้ “เตี้ยๆ” แค่นี้จริงๆ พับผ่า

 

นี่ถ้าญี่ปุ่นชนะสงครามโลกครั้งที่สอง จนเป็นผู้กำหนดชะตากรรมโลก ป่านนี้เชื่อว่าคนไทยเราคงอยากตัวเล็กแบบญี่ปุ่นกันหมดประเทศเป็นแน่ เพราะคนไทยเรานั้นมักคิดอะไรไม่เป็น ได้แต่ตามกระแสโลกไปวันๆเสมอมาอยู่แล้ว จนปราชญ์ไทยบางคนถึงกับสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยวาทะทำนองว่า คนไทยเรามีลักษณะคล้ายน้ำ ที่ปรับตัวให้เข้ากับภาชนะได้เสมอ  ซึ่งผมได้ถามมานานแต่ได้ยินครั้งแรกแล้วว่า “แล้วถ้าน้ำมันเน่าล่ะ มันก็จะมิยิ่งเน่าหนักยิ่งขึ้นหรอกหรือ”

 

คนไทยจะคือน้ำหรือไม่ก็เชิญโต้เถียงกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้คนไทยกำลังบ้าเห่อดื่มน้ำวันละ 8 แก้วตามที่ฝรั่งสอน (และหมอไทยจำขี้ปากมาสอนต่อ)  ซึ่งผมได้เขียนบทความสอนไว้ว่าจะยิ่งทำให้ “ไตวาย “  จน “ตายไว” กันหมด  เหตุผลลองไปหาอ่านกันดูในบทความต้นฉบับนะครับ แต่ขอสรุปสั้นๆในที่นี้ว่า เป็นเพราะ 1) อาหารเรามีความชื้นมากกว่าอาหารฝรั่งวันละ 3 แก้ว  2) ตัวเราเล็กกว่าฝรั่ง 1 แก้ว 3) ภูมิอากาศเรามีความชื้นและร้อนมากกว่าฝรั่ง 1 แก้ว 4) รูขุมขุนเราตื้นและละเอียดกว่าฝรั่ง 0.5 แก้ว   ดังนั้นการกินน้ำมากเกินไปจะทำให้เลือดจาง ไส กว่าปกติ ทำให้หัวใจ และ ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ

 

นอกจากดื่มน้ำมากกว่าฝรั่งแล้ว เรายังดื่ม “น้ำนม” มากฝรั่งหลายเท่าจนน่าตกใจ ทั้งที่มันไม่เหมาะกับเราเลย

 

เมื่อปีพศ. ประมาณ ๒๕๓๗ ผมได้สำรวจข้อมูลไทยเทียบกับฝรั่งเรื่องการกินนมของเด็กไทย ผมได้สัมภาษณ์รากหญ้าหลายคน  (คนขับรถ ยาม แม่บ้าน ในมหา’ลัย) พบว่า พวกเขาให้ลูกเขากินนมเฉลี่ยวันละ 7 กล่อง (ไม่ได้พิมพ์ผิด อ่านว่า เจ็ดกล่อง)  เรียกว่าเงินที่หามาได้วันละ 150 บาทก็ทุ่มซื้อนม (วัว) ให้ลูกกินเกือบหมด  และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตอบคำถามว่า ทำไมเด็กบ้านนอกจึงตัวใหญ่กว่าเด็กกรุงเทพ (และเด็กลอนดอล)

 

เรื่องนี้ไม่ใช่ความโง่ของชนชั้นรากหญ้า แต่มันเป็นความโง่ของอาจารย์มหาลัยไทยที่จบจากนอกเสียมากกว่า ผมชี้เพียงแค่นี้ ที่เหลือท่านผู้อ่านไปคิดต่อเอาเอง เพราะผมไม่อยากด่าพวกเดียวกันเองมากไปกว่านี้

 

จากนั้นผมไปอ่านคู่มือการเลี้ยงเด็กอ่อน ของสมาคมแพทย์เด็กแห่งสหรัฐอเมริกา (ปีพศ.ประมาณ ๒๕๓๗)  เขาแนะว่า เด็กอ่อนและเด็กก่อนวัยรุ่น (0-12 ขวบ) ควรดื่มนมวัววันละ 1 (หนึ่ง) แก้ว โดยควรเป็นนมพร่องมันเนย  2% 

 

ส่วนของเรานมเต็มมันเนยวันละ 7 แก้ว เท่ากับว่าเราได้ไขมัน และ แคลเซี่ยม เกินอัตราไปกว่าพวกฝรั่งถึง 20 เท่าได้กระมัง  จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเด็กเราตัวใหญ่ปานนี้ และจะไม่น่าแปลกใจเลยว่าอีก 20 ปีจากนี้ไปคนไทยเราจะมีโรคแปลกๆ ที่ทำให้ตายไว อีกมากหลาย เพราะพันธุกรรมของชนเผ่าเราไม่คุ้นเคยกับระบบอาหารแบบนี้ จึงถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่จะต้องกำจัด และปรับตัว พร้อมกันไป น่าสนใจว่าน้ำย่อยของคนไทยโบราณรุ่นผมขึ้นไปไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยสารจากนมวัวได้ ซึ่งผิดกับฝรั่ง ที่เขาวิวัฒนาการมานานจนย่อยได้ดี แล้วถามว่าสารที่ย่อยไม่หมด มีสารตกค้าง มันจะไม่สะสมหมมหมักแล้วมาทำร้ายร่างกายเรายามวัยแก่เฒ่าหรอกหรือ

 

เรื่องเห่อกินอาหารฝรั่ง (รวมทั้งนม) ซึ่งแพร่มาจากสมองชั้นต่ำของชนชั้นสูงของไทยเรานั้น มันน่าสมเพชเวทนาจริงๆ  เพราะหนังสือโภชนาการของฝรั่งทั้งหลายที่เขาวิจัยกันมาเป็นอย่างดี รวมทั้งหนังสือแพทย์เด็กดังกล่าว กลับแนะตรงกันว่าให้คนฝรั่งหันมากินแบบไทยโบราณ คือ กิน ข้าว ผัก ปลา ให้มากขึ้น และลดการกินเนื้อ นมไข่ ลงไป   แสดว่า ฝรั่งยอมรับโดยปริยายว่า โง่กว่าไทย ในเรื่องนี้  แต่ลองคิดให้ลึกไปกว่านี้ อะไรเล่าจะสำคัญต่อมนุษชาติเท่ากับการโภชนาการ

 

บรรพชนเราแสนฉลาด คิดหาอาหารหลากหลายมาให้เรากิน จนเติบใหญ่ ฉลาด มาได้จนทุกวันนี้ บัดนี้เรากลับเห่อฝรั่งจนโง่ลงกว่าเดิม จนหันไปกินอาหารอย่างฝรั่งกันหมด จนหนังสือสุขศึกษาก็สอนกันแต่ให้กิน แครอท แอปเปิ้ล นม ส่วนกระถิน (ที่หนึ่งกำมีแคลเซี่ยมมากกว่านมหนึ่งแก้ว) กลับกลายเป็นผักที่น่าขยะแขยงเกินกว่าจะเอ่ยถึง

 

ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ คนตัวใหญ่ขึ้นจะมีพื้นที่ผิวน้อยลง (ถ้าคิดเทียบต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรของร่างกาย)  แต่เราเป็นประเทศร้อน เมื่อผิวหนังลดลง การถ่ายเทความร้อนก็จะยากขึ้น จะทำให้ร่างกายร้อนขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าจะก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆตามมามากมาย เนื่องจุดสมดุลทางความร้อนในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าพันธุกรรมจะขยับตัวตามได้ทันกาล

 

ผมสำรวจพบด้วยกว่า นอกจากความโง่ของคนชั้นสูงแล้ว ปัจจัยเสริมที่สำคัญคือองค์การสหประชาชาติที่เป็นเครื่องมือของนายทุนต่างชาติ ที่เข้ามาส่งเสริมให้คนไทยกินนมแต่เมื่อประมาณ พศ.  ๒๕๐๕ โดยใช้ศูนย์อนามัยไทยให้ช่วยแจกฟรีนมผงให้แม่เด็กอ่อนไทยทั่วประเทศ  ที่รู้เพราะผมไปแอบกินนมผงอันแสนอร่อยของน้องชายคนสุดท้อง จนทำให้แม่ผมให้น้องเล็กหย่านมเมื่ออายุเพียงสองสัปดาห์ ต่างจากพี่คนอื่นๆอีกห้าคนที่หย่านมเมื่ออายุ 1-2 ขวบ

 

ทำให้ประดาพี่ๆสอบเข้ามหาลัยด้านวิทย์คณิตได้ ส่วนน้องเล็กกลายเป็นศิลปินเดี่ยวจนบัดนี้

 

ฝรั่งมันสอนว่า You are what you eat   ก็แม่นแล้ว เพราะถ้าคุณกินนมวัวมากเกินไป คุณก็คงฉลาดไปกว่าวัวบ่ได้ดอก  การที่ฝรั่งมันต้องกินนมนั้นเป็นเพราะอากาศมันหนาว หิมะคลุมทั้งปี  ปลูกผักไม่ได้ ก็เลยปลูกผักหญ้าในหน้าร้อน แล้วเกี่ยวเก็บฟางแห้งเอามาเลี้ยงวัวในหน้าหนาวเพื่อเอานมไว้กินกันตายในหน้าหนาว ส่วนของไทยเรามีอาหารอุดมที่ดีกว่านมวัวกินกันทั้งปี แต่เจือกโง่ ไปเห่อกินนมวัวตามฝรั่ง ...รวมไปถึงนมเน่าเช่น ชีส อีกด้วย

 

ที่น่าคิดไปกว่านั้นคือ นักวิชาการไทยวันนี้กิน “อึ” ทางวิชาการของฝรั่งเป็นอาหาร  แล้วถามว่าอนาคตชาติเราจะไปสูงสุดได้แค่ไหนหนอ ส่วนนักการเมืองไทย กินอึนักวิชาการไทยอีกต่อ ก็คิดกันดู

 

เอ้า...กลายเป็นเครียดกว่าอ่านเรื่องการเมืองเสียอีก  ความจริงยังมีรายละเอียดกว่านี้อีกมาก แต่กลัวเส้นโลหิตแตกเพราะอุดตันด้วยไขมันจากนมวัวกันเสียก่อน

 

....ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๒๔ กค. ๕๓)

หมายเลขบันทึก: 458082เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2011 16:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 12:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท