มนุษย์ต้องการอะไรในองค์การ ถ้านักบริหารหรือผู้บังคับบัญชาทั้งหลายลองมองตัวเองสักนิดว่า โดยแท้จริงแล้วตัวเองก็คือพนักงานคนหนึ่งหรือสมาชิกคนหนึ่งขององค์การ ที่ต้องทำงานอยู่ในสิ่งแวดล้อมของสังคมมนุษย์ มีผู้บังคับบัญชา มีลูกน้อง มีเพื่อนร่วมงาน มีความพอใจและไม่พอใจ พร้อมทั้งเคยประสบความสำเร็จและความล้มเหลวมาแล้วด้วยกันทุกคนก็จะพบว่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่ในองค์การ (รวมทั้งตัวเองด้วย) มีความต้องการต่างๆดังนี้คือ
1. ความต้องการที่จะรู้ว่าตนเป็นใครในองค์การ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรและสามารถทำอะไรให้กับองค์การได้บ้าง ถ้าพนักงานคนใดในองค์การมีประโยชน์และเป็นส่วนเกินขององค์การ พนักงานผู้นั้นก็คงจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในองค์การนั้น ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนในองค์การก็ควรจะเป็นผู้ที่สามารถให้อะไรกับองค์การได้ มิเพียงแต่มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การเท่านั้น มนุษย์ยังต้องการรู้ว่างานที่ตนทำเกิดประโยชน์อะไรกับองค์การ ผูกพันหรือเชื่อมโยงกับภารกิจใดขององค์การบ้าง ความรับผิดชอบของเขามีมากน้อยเพียงไร เขาจะต้องทำงานกับใคร อะไรคือมาตรฐานในการทำงานและเขาจะสามารถใช้อำนาจหน้าที่อยู่ในขอบเขตใดบ้าง ไม่มีใครที่จะนั่งทนทำงานที่ต้องรอให้ผู้บังคับบัญชาสั่งเป็นขั้นๆทุกครั้งไป ถ้าเขาเป็นคนปกติ (Normal Man) MYERS เขียนเอาไว้ในเรื่อง EVERY EMPLOYEE : A MANAGER ตอนหนึ่งว่า สิ่งแรกที่มนุษย์ในองค์การต้องการ คือคำตอบของคำถามว่า
1) งานของฉันเหมาะกับวัตถุประสงค์ของหน่วยงานและบริษัทอย่างไร , และสิ่งที่ฉันทำนั้นทำให้เกิดผลอะไร
2) งานใดที่เป็นงานรับผิดชอบหลักของฉัน, ฉันไม่ต้องการที่จะบอกวิธีการทำงานทีละขั้นตอน แต่โดยพื้นฐานแล้วหน้าที่รับผิดชอบของฉันคืออะไร
3) ฉันจะสามารถที่จะทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาได้อย่างไร,ความสัมพันธ์ในสาย งานเป็นเช่นไร,เมื่อไหร่ที่ฉันจะต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชา, ผู้บังคับบัญชาต้องการข้อมูลอะไรจากฉัน และโดยทั่วไปผู้บังคับบัญชาให้อิสระฉันอย่างไรและมากแค่ไหน
ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาไม่เพียงแต่จะต้องตระหนักถึงคำถามที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น แต่จะต้องยื่นแบบกำหนดหน้าที่ ( Job Description) และมาตร ฐานการปฏิบัติงาน (Job standard) ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน ทั้งนี้จะป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นจากการประเมินผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอีกด้วย
2. ความต้องการมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล วางแผน และกำหนดแนวทางการดำเนินขององค์กาi การที่มนุษย์จะอยู่ในองค์การอย่างมีค่า มิใช่จะให้เขาเกิดความรู้สึกด้วยวาจา หรือด้วยการสนทนาเท่านั้น การมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูล การวางแผนการกำหนดแนวทางดำเนินงานขององค์การ แม้เพียงน้อยนิดเฉพาะส่วนที่เขาเกี่ยวข้องและรับผิดชอบโดยตรง ก็สามารถทำให้เขาอยู่ในองค์การอย่างมีราคา เราต้องยอมรับกันว่าธรรมชาติที่แท้จริงอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือความต้องการมีส่วนร่วม (Want to be involved) ฉะนั้น นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในองค์การ โดยเฉพาะในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบแม้ว่าจะเป็นเพียงเศษหนึ่งในหลายร้อยส่วนก็ตาม
3. ความต้องการผลสะท้อนกลับ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับ หู ตา จมูก ลิ้น และความรู้สึกนึกคิด เพื่อให้มนุษย์ได้รู้อยู่ตลอดเวลาว่าเขาอยู่ที่ไหนในจักรวาล การที่จะได้ทราบว่าตนเองทำงานเป็นอย่างไร จึงเป็นความต้องการอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การส่งผลสะท้อนกลับอย่างจริงใจเพื่อให้พนักงานได้ทราบว่า โดยแท้จริงแล้วเขาเป็นอย่างไรจึงเป็นหน้าที่อันจำเป็นอย่างหนึ่งของนักบริหาร ทั้งนี้มิเพียงแต่จะเพื่อให้พนักงานได้รับทราบสถานการณ์ปฏิบัติงานของตนเท่านั้น แต่ยังจะเปิดโอกาสให้เขาได้มีโอกาสแก้ไขเพื่อสร้างความสำเร็จ ในงานนั้นๆอันหมายถึงสัมฤทธิผลส่วนของเขาอีกด้วย นักบริหารหัวหน้างานหลายคนได้พยายามที่จะเสนอวิธีการแก้ปัญหาให้แก่พนักงานหลังจากที่ชี้แจงข้อบกพร่องให้ได้รับทราบแล้ว โดยที่พนักงานมิได้ร้องขอ เพราะเชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีความสามารถที่จะตัดสินใจรอใช้วิจารณญาณเลือกวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องได้ด้วยตัวเอง แทนที่จะทำให้พนักงานผู้นั้นแก้ปัญหาได้ กลับสร้างปัญหาอีก เคยได้ยินพนักงานหลายคนพูดกันใช่ไหมว่า กรุณาบอกว่าคุณต้องการอะไร แล้วเราจะหาวิธีทำให้คุณเอง (Please tell me what you want and we will figure out how to do it)
4. ความต้องการความช่วยเหลือและคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาไม่มีใครปรารถนาจะอยู่คนเดียวในโลก การที่พนักงานมีความรู้สึกว่าเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำเพื่อช่วยให้เขาปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ นอกจากจะทำให้เขามั่นใจที่จะอยู่ในองค์การแล้ว ยังทำให้เขารู้สึกว่ามิได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมในองค์การนั้นอย่างเดียวดาย การให้ความช่วยเหลือ คำแนะนำ การปรึกษาหารือ และการฝึกสอน เพื่อให้พนักงานปรับปรุงสมรรถภาพในการปฏิบัติงานจึงเป็นความต้องการที่สำคัญอีกประการหนึ่งของมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในองค์การ
5. ความต้องการประการสุดท้ายของมนุษย์ในองค์การก็คือ ความต้องการรางวัลและการทำโทษ (Reward and Penalties) แต่ละคนคาดหวังที่จะได้รับรางวัลตอบแทนในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษ หรือได้ผลเกินความคาดหมาย รางวัลดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นในตัวงานเอง เช่น เวลาพักผ่อนที่เหลือเมื่อทำงานเสร็จ ความยุ่งยากที่น้อยลงเมื่อแก้ปัญหาได้เป็นต้น ซึ่งรางวัลที่อยู่ในตัวงานเหล่านี้มีค่าในการสนองความต้องการของมนุษย์อย่างยิ่ง บางคนที่ไม่ได้รับจึงแอบให้รางวัลตัวเองหรือฉลองความสำเร็จของตัวเองก็มี ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่กระทำความผิดหรือไม่บรรลุเป้าหมายตามคำมั่นสัญญาที่ตัวเองกำหนดไว้ต้องการได้รับการทำโทษ ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่ทำโทษก็อาจจะหาทางลงโทษตัวเองในรูปแบบต่างๆกัน อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ในองค์การนั้นก็คือ ทุกคนต้องการมีความสุขในด้านการทำงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและครอบครัว Stephen P. Robbins (2000) ได้กล่าวว่า “ Happy Worker Are Productive Worker ” ซึ่งผลของความรู้สึกเป็นสุข ( IMPACTS OF FEELING HAPPY ) David R. Caruso & Peter Salovey (2004 ) ได้กล่าวไว้ว่า ผลของความรู้สึกเป็นสุข ทำให้มนุษย์ในองค์การ เกิดความคิดใหม่ๆ และช่วยให้เกิดการคิดค้นวิถีทางอื่นๆ ที่มีความเป็นไปได้ ความรู้สึกมีความสุข ทำให้คนคิดเป็นและหยั่งรู้ในความคิดฝันเหล่านั้น ความรู้สึกมีความสุขช่วยให้คนแก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผลและสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นผลให้มีสภาพจิตใจที่เป็นสุขและแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆได้ลึกซึ้งมากขึ้น รู้จักคิดนอกกรอบ ทำให้เกิดความคิดเห็นที่หลากหลาย คนที่มีความสุขจะคิดออกไปได้ไกลๆ อย่างชื่นชม ทำให้คนอยู่ในสภาพอารมณ์ที่จะเป็นผู้ให้และเป็นมิตร การมองโลกในแง่ดี จะเพิ่มขีดความสามารถในการตัดสินใจทำให้อารมณ์มีพลัง ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการระดมสมอง ปลุกความคิดใหม่ๆ และแสวงหาทางเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนที่มองโลกในแง่ดีและรู้สึกเป็นสุข จะยึดถือองค์ความรู้และความถูกต้องเป็นหลัก จึงเป็นผู้ที่เก็บและกลั่นกรองข้อมูลได้ดีกว่าคนที่มองโลกในแง่ลบหรือคนที่มีอารมณ์เศร้า คนที่มีความสุขจึงเป็นคนที่ยึดแผนงานและกระบวนการเป็นเกณฑ์ ไม่ไปจู้จี้จุกจิกอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยมากเกินไป เมื่อความรู้สึกเป็นสุข ก็จะมองภาพรวมของงานได้ชัด แต่ถ้าเรามองภาพรวม ในขณะที่ทีมงานเราเศร้า คลื่นความคิดก็จะปรับเข้าหากันได้ยาก เราจึงมักมองภาพรวมในขณะที่ทีมงานมองไม่เห็นภาพที่เรามอง ความรู้เป็นสุขก็มีจุดอ่อนอยู่บ้างเช่นอาจทำให้เกิดความบกพร่องในการแก้ปัญหา เนื่องจากเรามีความรู้สึกว่างานของเราประสบความสำเร็จและทุกอย่างดีไปเสียหมด จนละเลยที่จะคิดให้ยาวไกลไปถึงปัญหาในอนาคต ความต้องการของมนุษย์ในองค์การเท่าที่กล่าวโดยย่อข้างต้นนั้น ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาสามารถสนองความต้องการให้เขาได้โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลการทำงานให้สำเร็จให้แก่มนุษย์ในองค์การ สิ่งแวดล้อมดังกล่าวจำเป็นจะต้องเกื้อกูลทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อมทางกาย และสิ่งแวดล้อมทางจิตควบคู่กันไปในเวลาเดียวกัน ถ้าความสำเร็จขององค์การขึ้นอยู่กับมนุษย์ ความสำเร็จของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลความสำเร็จส่วนตัว (Individual Effectiveness) ของมนุษย์ แล้วนักบริหารผู้ปรารถนาความสำเร็จทั้งหลาย จะไม่พยายามสนองความต้องการของมนุษย์เชียวหรือ?
บรรณานุกรม
การบริหารงานบุคคลภาครัฐแนวใหม่. (2549). ค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2549 จากhttp:// www. prachinburi.go.th /news_paked_total/July48/learning/learn1.ppt
ปรัชญา ชุ่มนาเสียว. (2548). การพัฒนาภาวะผู้นำในองค์การด้วย E.Q.. วารสารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, 1(1), 29-45.
สำนักความคิดในการจัดการ : School of Thought in Management. (2544). ค้น เมื่อ 19 กรกฎาคม 2549 จากhttp://www.geocities.com/terdtoon_nida4/tape600_taweesak.doc
โสภณ ภูเก้าล้วน. (2546). จิตวิทยาการจัดการ. กรุงเทพมหานคร:ยงพลเทรดดิ้ง.
หลักการจัดองค์การและการบริหาร.(2544). ค้นเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 49 จาก http://www. siamhr.com / org_mgt/pom.htm
Abraham H. Maslow. (1999). the hierarchy of needs.: An article from: Thinkers. New York: Chartered Management Institute.
David R. Caruso & Peter Salovey . (2004 ). The Emotionally Intelligent Manager.United States of America : Jossey – Bass A Wiley Imprint.
Robin Stephen P. (1978) Personnel : the Management of Human Resource , New Jersey : Prentice Hall, Inc.
Scott Myer. (1991). Every Employee: A Manager 3rd edition).New York : Choctaw Pub.
Stephen P. ROBBINS (2000). Organization Behavior (Tenth Edition). New York : Prentice Hall.
ไม่มีความเห็น