ไทยรวยที่สุดในโลก..ข้อคิดจากเดนมาร์ก


แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก ทั้งที่เรามีศักยภาพด้านเกษตรกรรมสูงกว่าเดนมาร์ก 10 เท่าเป็นอย่างน้อย

ประเทศไทยรวยที่สุดในโลก..ข้อคิดจากเดนมาร์ก

 
ต้น กย. ๒๕๕๒ ผมไปเยือนเดนมาร์ก  (กราบขอบคุณภาษีของประชาชนไทยที่สนับสนุนการเดินทาง) เพื่อร่วมมือทำงานวิจัยด้านกังหันลมกับนักวิชาการเดนมาร์ก

พอได้มีโอกาสไปเยี่ยมเดนมาร์ก ผมก็เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมสวีเดนซึ่งมีพรมแดนติดกัน เป็นสองประเทศในแถบแสกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่ได้พัฒนามานานแล้ว มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกเลื่องชื่อมานาน

เดนมาร์กมีปชช. ประมาณ ๕ ล้าน (พอกับลาว) ส่วนสวีเดนนั้นมีประชากรประมาณ 9 ล้านคนเท่านั้น (น้อยกว่าเขมร)  ที่ต่างกันคือสวีเดนได้กำหนดนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง จนมีอุตสาหกรรมหนักมากมายหลายอย่างเช่น เครื่องบิน รถยนต์ เรือเดินสมุทร รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศจึงมาจากอุตสาหกรรม มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงประมาณ 5% เท่านั้น (ใครขี่วอลโว่ ซ๊าบ สั่งซื้อเครื่องบินรบกริปเปน จรวดนำวิถีเพ็นกวิน ก็น่าจะรู้กันดี)

ส่วนเดนมาร์กประเทศติดกัน มีประชากร 5 ล้านคน เชื้อสายไวกิ้งเหมือนสวีเดน เคยเป็นเจ้าครองสวีเดนด้วยซ้ำไป (ใครกินนมไทย-เดนมาร์กก็น่าจะรู้กันดี)   กลับมีนโยบายในการพัฒนาประเทศแบบตรงข้ามกับสวีเดน คือกำหนดให้เป็นประเทศเกษตรกรรม รายได้ประชาชาติด้านการผลิตมาจากเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลืออีก 70% มาจากภาคบริการ

เดนมาร์กแทบไม่มีอุตสาหกรรมอะไรเลย นอกจากอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรนั่นเอง  ส่วนอุตสาหกรรมใหม่ที่เคยทำรายได้ให้ดีพอควรคือกังหันลมนั้นบัดนี้แทบไม่ได้ทำรายได้เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาซึ่งครองอำนาจมานานนับสิบปีเปลี่ยนนโยบายตามสวีเดน  (และอเมริกา)  จนไม่สนใจกังหันลมเท่าที่ควร ปล่อยให้อุตสาหกรรมกังหันลมเอกชนเจ๊งกันระเนระนาด

ที่น่าสนใจคือประเทศหนึ่งเน้นอุตสาหกรรมหนัก ส่วนอีกประเทศหนึ่งเน้นหนักการเกษตร แต่สองประเทศนี้กลับร่ำรวยพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอด โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (per capita income) อยู่ในระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด (สูงกว่าเมกา อังกฤษ ญี่ปุ่น)

ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจเดนมาร์กแซงหน้าสวีเดนไปแล้ว ทำให้เงินสกุลโครนของเดนมาร์กแข็งกว่าเงินโครนสวีเดนตั้งเกือบ 20% และเดนมาร์กก็ได้รับการโหวตจากนักข่าวทั่วโลกให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกอีกด้วย ทั้งที่ค่าครองชีพติดอันดับแพงที่สุดในโลก (ส่วนสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่เราท่านนิยมบูชาหนักหนา ติดอันดับประมาณ 35 และ 40 ตามลำดับ)

ผมวิเคราะห์ว่าที่เดนมาร์กแซงสวีเดนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทำให้ชะลอการซื้อสินค้าอุตสาหกรรม แต่ตกต่ำอย่างไรคนก็ยังต้องกิน ดังนั้นสินค้าเกษตรของเดนมาร์กจึงยังขายได้ดีกว่าสินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดน



แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ ประเทศไทยเรา กำลังวางนโยบายตามอย่างสวีเดน (เมกาฯ ญี่ปุ่น และ อื่นๆ) เพื่อให้เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม แทนที่จะตามอย่างเดนมาร์ก ทั้งที่เรามีศักยภาพด้านเกษตรกรรมสูงกว่าเดนมาร์ก 10 เท่าเป็นอย่างน้อย

นักการเมืองไทย และนักวิชาการที่ปรึกษา ต่างพากันคิดแบบทึ่มๆมานานนมแล้วว่าสินค้าเกษตรมันราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรมมากนัก ดังนั้นถ้าอยากรวยก็ต้องทำอุตสาหกรรมสิ ซึ่งผมได้เขียนบทความแสดงการคำนวณให้เห็นมาแล้วว่า เป็นการคิดที่ผิดมหันต์ เพราะราคาอาหารนั้นสูงกว่าคอมพิวเตอร์นับ100 เท่า...เมื่อเทียบส่วนการบริโภคต่อหน่วยเวลาเข้าไปแล้ว


ไทยเรานั้นมีภูมิอากาศเหมาะกว่าเดนมาร์กในทำเกษตรมากนัก เพราะของเขาเมืองหนาว แถมฝนตกปีละเพียงประมาณ 600 มิล  อีสานของเราที่สส.อ้างว่าแล้งหนักหนา (เลยต้องของบพัฒนาพิเศษ..เพื่องาบหัวคิว) ฝนตกปีละ 900 มิล เข้าไปแล้ว   ส่วนภาคใต้ ตะวันออกฝนตกเฉลี่ย 2000 มิล

ถ้าเราส่งเสริมการเกษตรของเราให้ดี มีการสร้างอุตสาหกรรมเกษตร  มีการวิจัยจากมหาลัยรองรับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ดี (แทนการวิจัยเห่อเหิมเพียงเพื่อสร้างผลงานตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ) รับรองได้ว่าเราเป็นมหาเศรษฐีโลกแน่ๆ น่าจะทำให้รวยกว่าเดนมาร์กได้สองเท่าสบายๆ  ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศรวยที่สุดในโลกอย่างที่ทิ้งที่สองเช่นเดนมาร์กแบบมองไม่เห็นฝุ่นทีเดียว


ความหวังผมริบหรี่ลงไปทุกวันทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนาท้องไร่ไทยที่เคยงดงามชะอุ่มถูกปล่อยรกร้าง หญ้าคลุมทั้งประเทศ (โดยเฉพาะอีสาน)  เพราะเกษตรกรทิ้งนาเข้ามาทำงานเป็นขี้ข้านายทุนต่างชาติตามนิคมอุตสาหกรรมริมทะเลเสียหมด ตามนโยบายสร้างชาติ (แบบทึ่มๆ) ของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ...ตามคำปรึกษาของนักวิชาการที่จบมาจากต่างชาติ รวมทั้งที่จบจากเดนมาร์กด้วย


ผู้ที่ทำร้ายสังคมไทยมากที่สุด ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือนักวิชาการไทยที่สมคบกับรัฐบาลไทยเรานี่แหละครับ มันเป็นวัฏจักรเชิงเกลียวดิ่งวิ่งลงสู่ก้นท่อ ที่ยากจะหมุนสะบัดให้ลอยสูงพ้นไปได้

...ทวิช จิตรสมบูรณ์  ๒ ตค. ๕๒  (ปรับปรุงใหม่เมื่อ ๒๒ พค. ๕๓)

 

หมายเลขบันทึก: 456350เขียนเมื่อ 26 สิงหาคม 2011 22:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 23:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

I am with you on this line of thoughts on socio-economic development.

I had looked at 'gardens' around 'factories' (where I worked).

I had looked at 'improvements' around farms (where I holidayed).

We can all see: where we work and where we wish to be.

[As for me, I now work(?) where I wish(?) to be ;-) ]

ขอขอบคุณข้อมูลและมุมมองที่ไม่เหมือนใครแต่ก็เป็นข้อคิดและสติกับพรรครัฐบาลในขณะนี้ให้ได้สติ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท