พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกผักต่อได้เลย เพราะพื้นนายังมีความชื้นอยู่มาก ถ้าต้องการน้ำ ก็น้ำในคูนั่นไง เพราะตอนนั้นจับปลาขายไปครึ่งหนึ่งแล้ว น้ำมีพอเอามารดแปลงผัก แถมเป็นน้ำปุ๋ยอุดมด้วยแอมโมเนียและฟอสเฟตจากอึปลาด้วย
ผักงามดี มีกำไรมาก กว่าน้ำจะหมดคูก็คงต้นกพ. คูนามีอยู่แล้วก็ทำเป็นเทือกแฉะๆ กางปิดด้วยสแลนท์ก็ปลูกผักน้ำแฉะแดดรำไรราคาแพงได้ง่ายๆ เช่น วอเตอร์เครสท์ ที่ตัดแล้วแตกใหม่อย่างรวดเร็ว ปลูกได้สามชุดสบายๆ
ช่วงปลูกผักนี้สามารถปล่อยเขียดใหญ่ เช่น เขียดอีโม่ที่เพาะเลี้ยงไว้ร่วมกับปลาใหญ่ได้แล้ว (เพราะมันกินปลาไม่ได้แล้ว) เขียดอีโม่มันจะกินแมลงใหญ่ ส่วนเขียดขาคำและอื่นๆ จะกินแมลงเล็กจนถึงเพลี้ย ผักของเราก็ปลอดสารพิษ แถมได้อึเขียดที่กินแมลงมาเป็นปุ่ย อีกทั้งเขียดพวกนี้ขายได้ แพงเสียด้วย
ส่วนปลานั้นถ้าเลี้ยงหนาแน่นเกินไป จะมีปัญหาเรื่องน้ำเสียจากอึของมันเอง ซึ่งสาหร่ายช่วยบำบัดแบบ รีไซเคิลไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือถ้าจำเป็นก็ต้องแทรกแซง ซึ่งสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ไม่ยาก ลองคิดดู อย่าให้บอกทั้งหมด เดี๋ยวหมดสนุก
นานี้ไม่ต้องฉีดยาใดๆ ไม่ว่าเคมีหรือชีวะ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย (มาจากอึปลา) ไม่ต้องทำหญ้า (ปลาตอดกินหมดแล้วเอาไปอึเป็นปุ๋ย) ส่วนปลาก็ไม่ต้องให้อาหารกินอาหารธรรมชาติจากไรน้ำที่หล่นมาจากใบไม้ และจากสาหร่าย ผักที่ปลูกก็เช่นกันไม่ต้องฉีด ไม่ต้องใส่ปุ๋ย (กินบุญเก่าจากน้ำปลา)
รายได้มาจาก ข้าวชีวภาพ ผักชีวภาพ(อาจมากกว่าข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก 10 เท่า) พืชก่อนฤดูเช่นถั่ว (อาจได้พอๆกับพืชหลัก) ปลา (อาจมากกว่าข้าว 5 เท่า) หอย หน่อไม้ ลำไม้ไผ่
คิดให้ดีนี่มันกลั่นเงินจากดินน้ำลมไฟธรรมชาติแท้ๆ เลย
ดิน น้ำ ไฟ(แสงอาทิตย์) ลม(อากาศ) ไม่ได้มาจาก thin air ดังที่ล้อไว้
...ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)
ไม่มีความเห็น