"ในป่าสงวนซึ่งทางราชการได้ขีดเส้นไว้ว่าเป็นป่าสงวนหรือป่าจำแนก แต่ว่าเมื่อเราขีดเส้นไว้ประชาชนก็อยู่ในนั้นแล้ว เขาจะเอากฎหมายป่าสงวนไปบังคับคนที่ยังอยู่ในป่าที่พึ่งสงวนทีหลัง โดยขีดเส้นบนแผ่นกระดาษ ก็ดูชอบกลอยู่ แต่มีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อขีดเส้นแล้ว ประชาชนทีอยู่ในนั้นก็กลายเป็นฝ่าฝืนกฎหมายไป ถ้าดูในทางกฎหมายเข้าก็ฝ่าฝืน เพราะตราเป็นกฎหมายอันชอบธรรม แต่ถ้าดูตามธรรมชาติ ใครเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย ก็ผู้ที่ขีดเส้นนั่นเอง เพราะว่าบุคคลผู้อยู่ในป่านั้นเขาอยู่ก่อน เขามีสิทธิในความเป็นมนุษย์หมายความว่า ทางราชการบุกรุกบุคคลไม่ใช่บุคคลรุกบ้านเมือง"
บางตอนจากพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันรพี ณ พระตำหนักจิตรลดา เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๖
จวบจนเมื่อมีเพื่อนๆ พี่น้อง ชาวกะเหรี่ยงหลายคนเรียกร้องให้เขียนต่อ ภาค ๒ พร้อมกับมี forward mail เกี่ยวกับภาพ และที่มาที่ไปของเรื่อง อีกทั้งยัง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีส่วนหนึ่งของพระราชดำรัสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ตอนหนึ่งด้วย ผู้เขียนจึงตัดสินใจเขียนต่อ “ไร่เลื่อนลอย : ตราบาปของคนกะเหรี่ยง” ภาค ๒ เพื่ออย่างน้อยจะช่วยสื่อให้สังคมรับรู้ความเป็นมาและเป็นไปอีกด้านหนึ่งของเหตุการณ์ในช่วงนั้น และประกาศให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้ว กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่อยู่ป่าได้อย่างลงตัวที่สุด
อ่านที่มา และเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้อง
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.171897696198592.64625.100001350892849
http://prachatai.com/journal/2011/08/36400
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNVEU0TURnMU5BPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4T0E9PQ==
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakU1TURnMU5BPT0=§ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4T1E9PQ==
ไร่เลื่อนลอย : ตราบาปของคนกะเหรี่ยง
โศกนาฏกรรมแก่งกระจาน : กังขานัก อุบัติเหตุ..ฤา..เหตุใด...?
เขียนเรื่องราวต่อเพียงข้องขัด
เกิดอึดอัดในใจเป็นหนักหนา
จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานอยู่กันมา
อาศัยอยู่อาศัยกินไพรพนา...
มีเพียงข้าวแลเกลือแค่น้อยนิด
ยันชีวิตให้อยู่ได้สุขหรรษา
ดำรงชีพพอเพียงเลี้ยงชีวา
มิเคยราวีถิ่นฐานผู้ใด...
ใยต้องเผายุ้งฉางบ้านเรือนเล่า
คิดแล้วเศร้าท่านทำเราน้ำตาไหล
ทั้งปู่ย่าลูกเล็กเด็กหญิงมากมาย
ใจสลายเมื่อรัฐสั่งจุดเผาไฟ
แม้จะแพ้วถางป่าไม้ไปบ้าง
ก็มิร้างลาไกลหนีไปไหน
เพียงหมุนเวียนให้ดินฟื้นคืนชีพไว
เหตุไฉนมาไล่ล่าราวีเรา...
วอนพวกอำนาจมากคนของรัฐ
อย่าขจัดพวกเราคนป่าเขา
เราอยู่ป่ารักษ์ไม้แม้หนักเบา
มิเคยเผาไล่ล่าสัตว์ใดใด....
ในขณะที่คนๆ หนึ่งมองคนกลุ่มหนึ่งด้วยความชื่นชม และปราบปลื้ม กับคนอีกกลุ่มหนึ่งกลับมองคนกลุ่มหนึ่งด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ใช้กำลังขับไล่ ตราหน้าเป็นผู้ทำลายป่า
คนที่จิตใจรุ่มร้อน มักมองภาพด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด
จึงมองแบบเบลอๆ เหมารวม
ต้องให้เวลาพวกเขาสักนิดคะ ทำความเข้าใจด้วยสันติวิธีเช่นนี้ ชื่นชมคะ
สวัสดีครับ คุณหมอ
ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมเยียน และให้กำลังใจ...คงได้แต่วิธีสันตินี่แหละครับ...ที่จะเป่าประกาศให้ชาวโลกรู้
สวัสดีครับ คุณอักขณิช ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจอย่างต่อเนื่องครับ
ในป่าสงวนซึ่งทางราชการได้ขีดเส้นไว้ว่าเป็นป่าสงวนหรือป่าจำแนก แต่ว่าเมื่อเราขีดเส้นไว้ประชาชนก็อยู่ในนั้นแล้ว เขาจะเอากฎหมายป่าสงวนไปบังคับคนที่ยังอยู่ในป่าที่พึ่งสงวนทีหลัง โดยขีดเส้นบนแผ่นกระดาษ ก็ดูชอบกลอยู่ แต่มีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อขีดเส้นแล้ว ประชาชนทีอยู่ในนั้นก็กลายเป็นฝ่าฝืนกฎหมายไป ถ้าดูในทางกฎหมายเข้าก็ฝ่าฝืน เพราะตราเป็นกฎหมายอันชอบธรรม แต่ถ้าดูตามธรรมชาติ ใครเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย ก็ผู้ที่ขีดเส้นนั่นเอง เพราะว่าบุคคลผู้อยู่ในป่านั้นเขาอยู่ก่อน เขามีสิทธิในความเป็นมนุษย์หมายความว่า ทางราชการบุกรุกบุคคลไม่ใช่บุคคลรุกบ้านเมือง"
ไม่มีคำถามและคำตอบ
พระราชดำรัสนี้ชัดเจนอยู่แล้ว
สวัสดีครับ อาจารย์ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมเยียน และร่วมให้กำลังใจ อีกทั้งยังช่วยยืนยันความเหลื่อมล้ำในสังคมที่มีอยู่จริง ให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้นครับ
สวัสดีครับคุณพี่กระติก~natachoei ที่ ~natadee
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับที่แวะมาเยี่ยมเยียน และให้กำลังใจ ความชัดเจนมีอยู่แค่นั้นจริงๆ ครับ สั้น กระทัดรัด เข้าใจง่าย แต่บางทีคนบางคนก็ไม่เข้าใจครับ...
สวัสดีครับ คุณครูnoktalay ขอบคุณมากครับที่แวะมาให้กำลังใจด้วยดอกไม้ (แม้จะไม่ทิ้งร่องรอยอื่นไว้แต่ก็ชื่นใจครับ)
สวัสดีค่ะ
อ่านและเห็นใจมาก
ชาวกระเหรี่ยงไม่ทำลายป่าค่ะ
เพราะเขาอาศัยป่า
แล้วเหตุใดเล่าที่ต้องขับไล่เขา
แต่ผู้ทำลายป่ากลับลอยนวล....
สวัสดีครับ คุณครูลำดวน
ขอบพระคุณมากครับที่แวะมาให้กำลังใจ ไว้จะไปเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ครับ
ปล. แต่ชั่วนี้ที่ผมอยู่ ฝนตกบ่อยสัญญาณเน็ตไม่ค่อยดีเป็นอุปสรรคมากๆ ครับ
สวัสดีครับ บังอร แก้ววิไล
*** มาติดตามบันทึกน่าอ่านของคนดี
*** ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ คุณครูกิติยา เตชะวรรณวุฒิ
โห..มาเสียดึกเลย แต่ก็ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจ ไว้ผมจะแวะไปเยี่ยมนะครับ
สันติวิธี..ไม่มีแล้วหรือ..???
สวัสดีค่ะคุณพาดีซอ
อ่านแล้ว รู้สึกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึก เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สวัสดีครับ แม่ครู ป.1
ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ แหมผมว่านะเพียงรัฐยึดพระราชดำรัสฯ แล้วหันมาใช้หลักรัฐศาสตร์ แทนที่จะอาศัยหลักนิติ... เป็นใบเบิกทาง ทำลายล้าง ชาวบ้านเขาก็พร้อมจะสันติทุกวินาทีแหละครับ...
สุดแต่ผู้มีอำนาจจะเลือกพิจารณา
สวัสดีครับ คุณพี่ถาวร ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจ
ครับน่าเห็นใจอย่างคุณพี่ถาวร ว่า ผมเลยถือโอกาสชี้แจงเพิ่มเติมนิดกับหลายท่านที่มาอ่านเจอครับว่า "ที่เขียนไม่ใช่ไม่ยอมรับนะครับว่าการทำไร่หมุนเวียน (ที่คนเข้าใจว่าเป็นไร่เลื่อนลอย...) นั้นอาจจะตัดต้นไม้ใหญ่เล็กไปบ้าง แต่ไม้เหล่านั้นไม่ได้ถูกขุดรากถอนโคน (เหมือนนายทุนที่แผ้วถางแล้วปลูกพืชตัวใหม่ หรือไม่ก็ปลูกคอนกรีตไปเลย) มันพร้อมที่ฟื้นคือกลับมาเป็นป่าไม้ได้ทุกเมื่อ...เพราะเวลาตัดชาวบ้านจะเหลือตอไว้เกือบเสมอหัว พอปล่อยไปสักพักป่าฟื้นตัวดินฟื้นตัว...ก็กลับมาทำใหม่ครับ...ที่สำคัญเขาทำเพื่อให้พอยาไส้ไปปีๆ ครับ ไม่ได้ทำเป็นร้อยไร่ พันไร่ แค่ไร่สองไร่เขาก็ไม่ไหวแล้ว...
เพื่อให้มันได้มีโอกาสเติบโตกลับมาใหม่ (ฟื้นตัว) และที่ว่าน่าสงสารเพราะชาวบ้านเหล่านี้ไม่มีอันจะกินครับ สิ่งจำเป็นสำหรับเขามีเพียง พริก เกลือ ข้าว เพื่อประทันชีวิตไปวันๆ แม้แต่จานชามเขาก็ไม่เคยซื้อเพราะไม่มีเงิน เห็นกระบอกไม้ไผ่ที่เจาะรูวางบนพื้นกระต๊อบนั่นไหมครับ...(ในรูปที่ตอบแมครูป.1) สมัยพาดีซอก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละครับ กะเหรี่ยงใช้สำหรับตักแกงใส่ แทนถ้วยชามครับ....
ในหลายๆ ครั้งที่มีเจ้าหน้าทีรัฐเข้าทำลาย ชาวบ้านต้องหอบลูกเด็กเล็กแดงหนีกระเจิงเข้าป่า ไม่มีข้าวไม่มีน้ำ เจอทั้งยุงทั้งทาก... สารพัดจะบรรยาย เพียงทหารหาร และเจ้าหน้าที่ทหารเดินกันไม่กี่วัน สื่อยังแพร่ภาพให้เห็นว่ามันสาหัสขนาดไหน นี่เด็กตัวเล็ก..ไม่อยากจะอธิบายต่อเลยครับ...ว่ามันจะขนาดไหน...