เย็นวันที่ ๑๑ สิงหาคม
รถหนาแน่นมากบนถนนหลักนราธิวาสมุ่งสู่หาดใหญ่ สองชั่วโมงจะถึงไหมเนี๊ยะ คือคำถามที่ทุกคนนั่งอยู่บนรถต่างลุ้นตามๆ กัน
การเดินทางครั้งนี้ เปลี่ยนคนขับรถเป็นพี่แอ๊ะ และมีน้องซากับน้องเกนนั่งรถไปส่ง โชคดีว่าพี่อี๊ดขอติดรถกลับบ้านที่หาดใหญ่ สมาชิกร่วมเดินทางเลยดูมากทีเดียว ... เราออกจากเมืองนราค่อนข้างช้า...จึงต้องลุ้นว่าจะไปทันเช็คอินก่อนหกโมงเย็น
พี่แอะขับเร็วแต่ดูปลอดภัย ข้าพเจ้าค่อนข้างวางใจ จึงนั่งหลับไปตลอดทาง มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อถึงปัตตานี สองข้างทางที่ดูเหมือนว่ารถจะไม่ได้บางตาลงเลย ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปเส้นทางเดียวกัน พี่แอ๊ะยังคงทำหน้าที่นำพาเราไปอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ วันนี้ได้รถตู้คันประจำตำแหน่งของท่าน นพ.สสจ.นราธิวาส นั่งสบายและดูปลอดภัย
ก่อนออกจากเมืองนราฯ มีจราจลในเรือนจำ แต่นั่นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการทำลายความสงบในใจของข้าพเจ้าไปได้เลย
มองไปเบื้องหน้า...
ดูเหมือนฝนจะตกหนักบนเส้นทางที่เราจะเคลื่อนไปถึง รถวิ่งได้ช้าลง พี่แอ๊ะยังคงตั้งใจขับ เราทุกคนเงียบ ข้าพเจ้าหันไปสนทนากับน้องซาเป็นบางครั้ง ช่วงนี้น้องอยู่ในช่วงปอซอ และรอลาศีลในแต่ละวันช่วงหลังหกโมงครึ่งในตอนเย็น
รถวิ่งช้าลงเรื่อยๆ ด่านมีมากขึ้นและดูตรวจเข้มกว่าทุกครั้ง
แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายๆ ใดใดเกิดขึ้น
ยิ่งเข้าใกล้เมืองหาดใหญ่...ความเร็วยิ่งช้าลง เวลาเดินไปเรื่อย หกโมงเย็นแล้วแต่ระยะห่างจากหาดใหญ่ยังเหลืออีกมากพอสมควร ข้าพเจ้าตัดสินใจเช็คอินทางโทรศัพท์ แต่ก็วางใจได้ไม่นาน หลายช่วงที่รถดูเหมือนต้องจอดแน่นิ่งแบบต้องคอยขยับๆ...เป็นคืบๆ จากถนนที่แบ่งเป็นวิ่งได้สองเลนเริ่มมีการแตกแถวขยายออกเป็นสามเลน...พี่แอ๊ะขับชิดซ้ายไหล่ทางไปเรื่อยๆ...
"นี่แหละน๊า...ชีวิตชอบความท้าทายดีนักจึงต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้อยู่เรื่อยๆ" ข้าพเจ้าพูดขำขำกับน้องซา
"ผมว่าอาจารย์อาจจะไม่ทันเครื่อง" พี่แอ๊ะบอก "ทันค่ะ ...พี่แอ๊ะ...กะปุ๋มเชื่อว่าทัน" ข้าพเจ้าบอกพี่แอ๊ะ
"อาจารย์ไปไม่ทัน อาจารย์นอนบ้านพี่ก็ได้" พี่อี๊ดส่งเสียชวนมาจากด้านหลัง
ข้าพเจ้าเพียงแต่หันไปยิ้ม
เราเริ่มนั่งหลังไม่ติดพนัก ต่างชะเง้อดูทางข้างหน้าที่รถเยอะมาก อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงทางเลี้ยวไปสนามบินแต่รถขยับไม่ได้ ข้าพเจ้าชำเลืองดูนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีจะหนึ่งทุ่ม ตามเวลาเครื่องต้องออกประมาณ 19.10 น.
"อาจารย์เช็คอินแล้ว เขาต้องรออาจารย์" พี่อี๊ดให้ความหวัง
"ผมทำดีที่สุดแล้วครับอาจารย์"...
"พี่แอ๊ะตั้งใจมากค่ะ แต่ปุ๋มเชื่อว่าทันค่ะ เลี้ยวข้างหน้านี่ก็ใช่ตรงไปสนามบินใช่ไหมคะ"... ข้าพเจ้ายังคงเชื่อมั่นว่าจะทันได้เดินทางกลับในเย็นวันนี้ และไม่มีความรู้สึกเลยว่าจะได้นอนค้าง แต่ประสบการณ์ในการตกเครื่องไม่ทันเที่ยวบินก็เกิดเป็นประจำสำหรับข้าพเจ้า
เราทุกคนเงียบ...
พี่แอ๊ะบอกว่าหากรถยังไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีรถคันไหนมาจอดขวางโอกาสที่เราจะได้เลี้ยงซ้ายผ่านตลอดมีสูง...
และแล้วเราก็ได้เลี้ยว พี่แอ๊ะเหยียบคันเร่งเต็มที่
...
ผ่านเข้าไปในสนามบินเหลือเวลาเพียงยี่สิบนาที แต่...แถวที่รอสแกนกระเป๋ายาวมาก หากรอไม่มีหวังทันแน่ แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี
นึกออก ...บอกน้องซา "พี่จะเข้าไปก่อนให้ซาถือกระเป๋าและของพี่ทุกอย่างตามเข้าไป" ข้าพเจ้าได้บัตรประชาชนใบเดียว รีบวิ่งเข้าไป ทันได้รับตั๋ว...พอดีกับที่น้องซาตามเข้ามาทันพอดี ไม่รีรอข้าพเจ้ารีบวิ่งเข้า gate แต่...ลืมโทรศัพท์ที่ฝากไว้กับน้องซา ณ ตอนนั้นกำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จะทิ้งไว้ที่นี่แล้วไปเลยหรือจะย้อนกลับไปเอา หันไปพอดี เห็นน้องซาตะกายตามมาตามบันไดเลื่อน
ช่างเป็นอะไรที่ตื่นเต้นยิ่งนัก
ตรวจบัตรผ่านไปได้รีบวิ่งเลยค่ะ ...แต่ก็ดันวิ่งเข้าไปผิด gate ไป gate ที่เขากำลังจะลงเครื่อง พนักงานวิ่งแตกตื่นตามข้าพเจ้ามาจ้าละหวั่น สนุกดีเป็นประสบการณ์ที่แปลกไป พอเข้าเครื่องเท่านั้นค่ะ พนักงานก็ปิดประตูทันที
ทั้งวิ่งทั้งลากกระเป๋า...
ถึงกรุงเทพฯ ตามหมายใจไว้ แต่การเดินทางยังไม่หยุดเพียงแค่พักค้างต่อเครื่องแต่เช้ามืด เดือดร้อนพนักงานโรงแรมโทรตามว่าแท๊กซี่มารอแล้วตอนเช้ามืด
ที่ช้า...เพราะกระเป๋าปิดไม่ลง ยัดทุกอย่างลงกระเป๋าเพื่อไม่อยากหอบพะรุงพะรัง
ชีวิตอันรีบเร่งเริ่มต้นอีกครั้งเช้านี้ในตีสี่ของวันที่ ๑๒ สิงหาคม
โห...ที่สนามบินคนเยอะมาก
อืม...วันหยุดสามวัน เช็คอินรับตั๋วเสร็จไม่ทันไรไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งก็ถูกเรียกขึ้นเครื่อง เฮ้อ...พอได้สงบกายบ้าง แต่ใจไม่ต้องห่วงยังสนุก
ทันทีที่ล้อแตะพื้น...ลืมตาตื่นตรวจสอบสัมภาระ
เจ็ดโมงสิบเจ็ดนาที...รีบตรงดิ่งไปที่รถเลยค่ะ ไม่แวะนั่นนี่ รีบทำเวลา จะต้องกลับไปที่ยโสธรให้เร็วที่สุด โชคดีที่รถแจ๊สคันเล็กวิ่งได้เร็วทันใจ ปราดเปรียวและลื่นไหลไม่ติดขัดใดใด
สี่สิบนาทีจากสนามบินอุบลราชธานีถึงวัดป่าหนองไคร้...(ปกติหนึ่งชั่วโมงกว่าถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง)
"โอ..." เสียงอุทานของหลวงปู่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของท่าน ข้าพเจ้าทำได้ ทำได้แบบมุ่งมั่น ไม่ประมาท ไม่เกิดอันตราย และไม่เดือดร้อนใครด้วย แล้วก็มาทันงานสำคัญของพ่อแม่ครูบาอาจารย์...
ดอกไม้สองพวงยังวางอยู่ข้างเบาะ
เมื่อก้มลงกราบหลวงปู่ และเสร็จสิ้นภาระกิจ
ข้าพเจ้าตรงดิ่งเข้าบ้านแม่ทำกับข้าวรอ และได้แบ่งดอกไม้คนละพวงกับเจ้าอะตอมหลานชาย ก้มลงกราบเท้าแม่พร้อมสวมกอด
ปีนี้แม่...อายุ ๖๖ ปี แม่บอกภูมิใจในลูก หากพ่อและอาหน่อยังอยู่คงภูมิใจและกล่าวขวัญถึงลูกอยู่บ่อยๆ แน่
"ตามรอยเบื้องยุคลบาทค่ะแม่" คือคำพูดของข้าพเจ้าบอกต่อแม่ ในบทบาทของความเป็นข้าราชการแบบไม่เป็นข้าราชการ...
วันนี้ทั้งวันอยู่บ้านกับแม่...แต่ตอนเย็นไปทำหน้าที่เรียนรู้เข้าไปในใจตนเองต่อตามบทภาวนาของการเกิดเป็นมนุษย์
...
๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔
วันแม่ที่มีทุกๆ วันของข้าพเจ้า
ไม่วุ่น = ว่างครับ
ฝากกราบคุณแม่ของอาจารย์ด้วยนะครับ
การเดินทางคือการทำงาน ครับอาจารย์ กะปุ่ม
สวัสดีค่ะอาจารยืมาอ่านความรักของแม่ และลูกด้วยนะคะ สุขใจที่ได้ทำงาน การเดินทางเป็นประสบการณ์ของชีวิตจริงๆนะคะ
ลุ้นระทึก แต่ก็สำเร็จตามเป้าหมาย