จากวิกฤตที่กำลังจะมาถึงคือสังคมไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งตัวดิฉันเองมองว่าเป็นโอกาสของการเปลี่ยนแปลง โดยนิสัยส่วนตัวแล้วดิฉันชอบคุยกับคนสูงวัยมาก เพราะ มีเรื่องราวเล่าขานเยอะ ล้วนแล้วแต่มีคุณค่า และมองว่าผู้สูงอายุวัย 60 ปีนั้นไม่แก่เลย สุขภาพและความจำยังดี สิ่งที่น่าเสียดายคือความรู้และประสบการณ์ของท่านเหล่านี้มีมากมายท่านสะสมมาตลอดชีวิต จะมาหยุดอยู่ที่วัย 60 ปีนั้นน่าใจหาย
และการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุนั้นสำคัญ ได้แก่การได้พูดคุย มีปฏิสัมพันธ์ ได้คิด ได้ออกกำลังกายเบาๆ ช่วยป้องกันโรคชราได้เป็นอย่างดี
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะใช้แรงงานคนแก่ต่อไป เช่น การสมัครใจยืดอายุการเกษียณ จาก 60 ปี เป็น 65 ปี และสามารถต่ออายุไปอีกครั้งละ 1 ปี ขึ้นอยู่กับการประเมินด้านสุขภาพ และความสมัครใจของท่านเหล่านั้น ดิฉันรู้สึกว่าคนสูงอายุหากได้ทำงานรู้สึกว่าท่านกระชุ่มกระชวย อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส บางท่านหลังเกษียณท่านแก่ลงซึมเศร้า และเหงามาก เพราะเคยทำแต่งานไม่เคยอยู่ว่างๆ ถึงแม้นว่าจะวางแผนชีวิตหลังเกษียณไว้ แต่ในชีวิตจริงๆ คนเราเป็นสัตว์สังคม ก็ควรได้พูดคุยพบปะกันในสังคมซึ่งปัจจุบันการเข้ารวมกลุ่มในสังคมนั้นมักมีแต่ที่โรงเรียน และที่ทำงาน หลังเกษียณแล้วท่านก็ไม่ทราบได้ว่าจะไปรวมกลุ่มที่ใด การหากิจกรรมในชุมชนให้ท่านทำ หรือเปิดโอกาสให้ท่านเป็นวิทยากรพิเศษในโอกาสต่างๆ ก็น่าจะดี
คนแก่บางท่านมีความสามารถในการประดิด บางท่านมีความสามารถในการเล่าเรื่อง บางท่านมีความสามารถในงานวิชากร บางท่านเก่งเย็บปักถักร้อย และการทำอาหาร ทำอย่างไรนะที่เราจะเก็บรวมรวมความรู้ความสามารถของท่านเอาไว้ได้ คงต้องหาทางกันต่อไป
ผู้สูงอายุที่น่ารัก คือผู้ที่มีใจเมตตา อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกในแง่ดี และทันสมัย ใจกว้าง ให้อภัย
วันชราวันหนึ่งจะมาถึงท่าน และวันนี้ท่านวางแผนชีวิตหลังเกษียณหรือยัง... ตอนจากไปท่านอยากให้คนข้างหลังคิดถึงท่านแบบไหน
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ อยากให้แม่นั่งๆ นอนๆ ไปเที่ยวพักผ่อน จะได้มีความสุข แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลหรอกค่ะ ทำท่าจะเฉาลงๆ ทุกวัน แต่พอเปิดโอกาสให้เลี้ยงหลานๆ เท่านั้นแหละค่ะ สดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น