ได้คุยกับน้องทันตแพทย์ที่มาสอบอนุมัติบัตรทันตแพทยสภา สาขาทันตสาธารณสุข ประเภทข้อเขียน ต่างมีประสบการณ์การทำงานในโรงพยาบาลมานานพอสมควร ผ่านงานตามนโยบาย/กระแสสังคมโรงพยาบาลและวิชาชีพ ถือว่าอยู่ในกรอบการทำงานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ หากไม่นับวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ด้านท้นตสาธารณสุขที่เรียนในคณะทันตแพทย์ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 10 จาก 100 คะแนนแล้ว ข้อสอบที่เหลืออีก 90 ล้วนอยู่ในสังคมการทำงานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร ระบาดวิทยา วิจัย จริยธรรม การส่งเสริมสุขภาพ การบริหารจัดการ หรือระบบบริการ แต่ในความเป็นจริง ทันตแพทย์ส่วนหนึ่งทำงานแบบทำตามๆ กันทั้งตามพวกเดียวกันเอง ตามรุ่นพี่ ตามกองทันตะ (ตอนนี้ชื่อ สำนักทันตะ) หรือตามวิชาชีพอื่น หากใส่ใจหาความรู้เพิ่มเติม(ทำงานบนฐานความรู้) เพื่อพัฒนาการทำงาน เช่น
- เป็นทันตแพทย์ในโรงพยาบาลหรือ สสจ. ต้องประพฤติปฎิบัติอย่างไร ในแง่วิชาชีพ เหมือนหรือต่างกันไหมถ้าทำงานในหน่วยงานต่างกัน อย่างโรงพยาบาลกับ สสจ.
- ขวนขวายอีกนิดให้เข้าใจหลักการแนวคิดการประกันคุณภาพโรงพยาบาล (TQM หรือ CQI) ก็จะรู้ว่า risk management เป็นเครื่องมือบริหารจัดการที่สำคัญ ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะงานคลินิกบริการ
- ถ้าฉุกคิดสงสัยสักนิดว่า จะจัดบริการทันตกรรมอย่างไรเพื่ออะไร ให้ตอบสนองผู้ใช้บริการ ขณะที่ต้องทำโครงการทันตสาธารณสุขในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก หรือประชุมอบรมต่างๆ และโรงพยาบาลก็เลี้ยงตัวเองได้ด้วย ก็ย่อมนึกถึงการจัดการ การจัดสรรทรัพยากร งบประมาณ/การเงิน การประกันคุณภาพ .... ว่าจะทำอย่างไรให้สอดคล้องกันไป
- ตั้งแต่ 2544-45 ประเทศเรามี UC มี CUP มีบริการปฐมภูมิ รูปธรรมคือ ทันตแพทย์โรงพยาบาลต้องจัดบริการทันตกรรมที่ PCU, CMU หรือ รพ.สต. แล้วบริการระดับปฐมภูมิคือ อะไรกันเล่า คิดต่อแล้วหาอ่านเพิ่มอีกสักนิดให้เข้าใจจะได้จัดบริการได้ตรงหลักการของ primary care
- สสจ. ถ่ายทอดมาว่า สำนักทันตะให้ทำโครงการนี้นั้น เป้าหมายเป็นอะไรเท่าไร ใช้งบเป็นค่าใช้จ่ายอะไรได้บ้าง คนทำได้หรือไม่ได้ค่าตอบแทนอย่างไร คิดและซักถามเพิ่มสักหน่อยว่า วัตถุประสงค์คืออะไร วิธีดำเนินงานตอบวัตถุประสงค์หรือไม่อย่างไร ทำไปแล้วจะรู้ได้ยังไงว่า work หรือไม่ จะวัด/ประเมินผลอย่างไรดี
- สำหรับระบาดวิทยาและวิจัยควรเรียนให้รู้/เข้าใจจริงจริง เพราะเป็นศาสตร์สำคัญ น่าจะเป็นสมรรถนะหลัก (core competency) ของคนทำงานด้านสาธารณสุขด้วยซ้ำ และพอเรียนเรื่องการวิจัย ก็จะรู้เรื่องจริยธรรมการวิจัยด้วย ตอนนี้มีเงินกองทุนทันตะ จังหวัดสามารถจัดอบรมเองได้และควรเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
ถ้าทำได้ดังนี้ ประสบการณ์การทำงาน 5 ปี 10 ปี ก็จะมีประโยชน์ เพราะเราเก็บเกี่ยวความรู้อันเป็นผลประโยชน์นั้นขึ้นมา เมื่อมาสอบก็จะผ่านฉลุยโลด แทนที่จะดำรงตนเป็น clinician แล้วมาสอบหวังฟลุ๊ค
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แม้ไม่จ่ายด้วยเงินและเวลาในการศึกษาต่อ ก็ควรจ่ายด้วยความคิดความขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง...สักหน่อยน่า….เนอะ
4 สิงหา 2554
ไม่มีความเห็น