ผู้ยืนหยัดด้วยหนึ่งสมอง และ "หนึ่งมือ"..เรื่องราวที่จะทำให้คุณหยุดเสียใจกับความผิดพลาดในอดีต..


หากคุณเสียใจกับสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต..ลองมาดูชีวิต "BJ" ผู้ย่างก้าวด้วยขาเทียมด้วยตนเองอย่างมั่นใจ และยังเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่น

   คุณเคยไหม..คิดย้อนกลับไปในอดีต..วันนั้นเราไม่น่าทำอย่างนั้น ปีนั้นเราน่าจะทำอย่างนั้น.. ตอนนั้นเราน่าจะเลือกสิ่งนั้นมากกว่าสิ่งนี้..
   ข้าพเจ้าเคยจมอยู่กับความรู้สึกผิดหวังเสียใจกับการตัดสินใจของตนเองอยู่เรื่องหนึ่ง..เป็นเวลาหลายปี..ที่อยู่กับความรู้สึกหดหู่ โกรธตัวเอง พาลโกรธคนรอบข้าง..แม้สถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่เลือนหายไปเสียทีเดียว..
********* 

   จนเมื่อ 2 ปีก่อน..ข้าพเจ้าได้มาพบกับชายหนุ่มหน้าตีดีคนหนึ่งที่วอร์ดผู้ป่วย Palliative care UCSF medical center..ใส่เสื้อผ้าฝ้าย มีรูขาดเล็กๆ ตรงส่วนศอกด้านซ้าย..ที่สะดุดตามากกว่านั้นคือ เขาไม่มีแขนด้านซ้าย..เมื่อก้มมองดูที่เท้าทั้งสองข้าง กลายเป็นแผ่นเหล็กแบนๆ ติดสปริง!

   เขาคือใคร?..คนไข้หรือเปล่า?...สักพักแพทย์ประจำบ้าน ก็แนะนำ "คุณหมอ BJ, attending staff ของเราสัปดาห์นี้"...
   ขณะที่ข้าพเจ้าเดินตามทีม ..อดนึกไม่ได้ว่าผู้ป่วยจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อแรกเห็นคุณหมอ BJ..ปรากฎว่า ไม่มีใครแสดงอาการแปลกใจหรือท่าทีใดที่ต่างไปจากการเห็นหมอคนอื่นๆ เลย ตรงกันข้าม..หลังจากได้คุยกันไปสักพัก ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่า ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเปิดเผยกับ BJ อย่างรวดเร็ว..


 

Dr. B.J. Miller sits on a patient's bed at Zen Hospice Project in San Francisco, where as executive director he practices palliative care: "Being a full human being has a lot to do with suffering."
Credit: Brant Ward / The Chronicle  source of article and photo 
 

..ตอนที่ BJ อายุ 20 ปี กำลังเป็นนักศึกษาหนุ่มอนาคตไกล  คืนหนึ่ง การตัดสินใจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล..เมื่อเขาและเพื่อนปีนรถไฟฟ้าที่จอดขวางถนน เพื่อข้ามไปซื้อของอีกฟาก..กระแสไฟฟ้าแรงสูงกว่า 10,000 โวลต์ ทำให้หลายคนคิดว่าเขาคงไม่รอด..แต่เขาก็รอด โดยแลกกับการเสียขาสองข้าง กับแขนข้างซ้ายไป..

  หลังจากนั้นชีวิตเขาก็ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นเวลาหลายปี..แต่ B.J. ไม่เคยโทษใคร ไม่แม้แต่ที่จะสงสารตัวเอง..
  หนังสือพิมพ์ The Chronical บันทึก สิ่งที่สะท้อนทัศนะคติการดำรงชีวิตของ B.J. ผ่านคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลหลังจากตัดแขน..
   "ตอนนั้น แขนซ้ายของ B.J. โตเท่าลูกแตงโม (เข้าใจว่าส่วน amputated ยังใหม่อยู่เลยบวมมาก - ผู้เขียน) แต่เขาบอกอยากได้จักรยาน mountain bike เป็นของขวัญคริสต์มาสต์"..
   B.J. ใช้เวลากว่า 3 ปีในการพักฟื้้น แต่ความฝันที่จะแพทย์ยังไม่จางหายไป แม้ดูเป็นหนทางที่แสนยากลำบาก ทว่าในที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์คำพูด "disability doesn't determine who you are"..B.J รับปริญญาแพทยศาสตร์จาก UCSF ก่อนที่จะจบสาขาเชี่ยวชาญ Palliative medicine จาก Harvard medical school...

   แม้ประวัติการศึกษาของเขาเป็น Ivy league แต่วิธีการสอนของเขานั้นแสนจะเรียบง่าย ไม่อิงสถิติ ไม่อิงทฤษฎี แต่สอนให้นักศึกษาฝึกที่จะ "ใช้ใจรับรู้" สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการ เขาแสดงทัศนะต่อ Palliative care ไว้ว่า "เราไม่ได้มีหน้าที่บอกให้คนไข้ตัดสินใจหยุดรักษา แต่เรามีหน้าที่ตัดสินใจเลือกการรักษาให้ตรงกับเป้าหมายที่ผู้ป่วยต้องการ"
   ..B.J. ไม่เคยใส่สูทผูกไทด์..อย่าว่าแต่ผูกไทด์เลย เอกลักษณ์ของเขาคือเสื้อยับ :-) แต่เขาก็ได้รับการชมเชยจากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ว่า เป็นคนมีเสน่ห์ทำงานด้วยแล้วสบายใจ..เนื่องจาก B.J. มีแขนเพียงข้างเดียว ทำให้เขาไม่สามารถตรวจร่างกายผู้ป่วยได้ถนัดนัก แต่ผู้ป่วยก็ชื่นชม"แก้ปัญหาของเขาได้ตรงจุดและตรงใจ"
  .. แม้ B.J. จะเป็นมือหนึ่งของทีมด้าน Pain management ผู้ชำนาญการใช้ยายากๆ อย่าง methadone แต่เขาได้แสดงทัศนะการรักษาด้วยจิตวิญญาณ ไว้ใน The Chronical ว่า..
  (Buddhism is) "beautifully inarguable," especially because it sees kindness as the antidote to suffering 

*********
  B.J. มีอิทธิพลต่อความนึกคิด และทัศนคติต่อข้าพเจ้าอย่างมาก เป็นผู้ทำให้ข้าพเจ้าหยุดเสียใจการตัดสินใจในอดีตอย่างสิ้นเชิง แล้วหันมาอยู่กับปัจจุบัน เลิกคิดเสียดายศักยภาพที่ไม่มี แล้วใช้ศักยภาพเท่าที่มีอยู่ให้เต็มที่..

  ..ยังมีบทเรียนที่มีลมหายใจ พูดได้ เดินได้ อยู่รายรอบตัวเราให้เรียนรู้...

หมายเลขบันทึก: 451185เขียนเมื่อ 28 กรกฎาคม 2011 05:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

สวัสดีครับ

ชอบครับโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาจากประสบการณ์จริง

และเมตตานี้ ยังจำเป็นสำหรับคนทั้งโลก(ที่กำลังจิตป่วยและสติอ่อนกำลัง)ด้วยครับ

ขอบคุณคะ

หลักการของพุทธศาสนา เป็นสากล

ส่วนพิธีการนั้น อีกเรื่องหนึ่ง

B.J. บอกว่า เขาไม่ได้เป็น Buddhism

หลักการของ Buddism ชี้นำในการดำเนินชีวิตของเขา..

ถูกต้องครับ หลักการที่ดี สามารถนำในการดำเนินชีวิตได้ ไม่ว่าจะเรียกชื่อศาสนาใด

ในอินเดีย ตั้งแต่พระเจ้าอโศกมหาราชที่ประกาศตนเป็นพุทธ ดร.อัมเบดก้า จัณทาลที่เปลี่ยนมานับถือพุทธในปั้นปลายชีวิต รวมทั้งมหาตมะ คานธีและเนรูห์ ซึ่งนรม.เนรูห์นั้นมีจิตใจที่เห็นชัดว่าเป็นพุทธ ส่งเสริมพุทธศาสนาในอินเดียมากเหลือเกิน

บันทึกของ อจ.น่าสนใจครับ

ผมกำลังมองโลกที่วุ่นวาย ด้วยจิตคนที่มีพฤติกรรมต่างๆ นานาๆ ไม่ผิดอะไรกับคนป่วย อะไรจะสามารถทำให้จิตใจเหล่านั้นกลับมามีสติ มีเมตตา........อะไรที่ว่านั้นอาจจะเป็นหลักการ หลักปฏิบัติ ที่เป็นสากลนี้ก็ได้

ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ นี้ครับ

 

หลายครั้งกลับไปย้อนคิดและเสียใจ

แต่พยายามเข้าใจและวางมันลงไว้แค่อดีต

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

  • บล็อกขอบคุณพลเดชก็น่าสนใจมากเช่นกันคะ
  • ขอบคุณสำหรับวิธีการ ใส่รูปในการแสดงความเห็นคะ เพิ่งทราบจริงๆ :-)

ถ้าคนเราไม่ย้อนนึกถึงอดีตได้ เนื้อที่ Hard disk ในสมองคงจะเพิ่มขึ้นเยอะเลยคะ

"เราไม่ได้มีหน้าที่บอกให้คนไข้ตัดสินใจหยุดรักษา แต่เรามีหน้าที่ตัดสินใจเลือกการรักษาให้ตรงกับเป้าหมายที่ผู้ป่วยต้องการ"

ตรงใจมากครับ

ตรงใจด้วยคนคะ

หาก curative side สำคัญที่การสืบค้นหาวินิจฉัยโรค

Palliative side ก็สำคัญที่การสืบค้น เป้าหมายของผู้ป่วย คะ

อ่านบันทึกนี้อย่างช้า ๆ คิดไปด้วยแบบไม่เร่งรีบ

เรา(พี่เอง) มีเงื่อนปมบางเรื่องที่ไม่ได้ถอดถอน เพียงแค่ฝัง พยายามกลบ ทว่าไม่ได้ผล มันโผล่พ้นจิตสำนึกของเราเป็นระยะ ๆ

อาศัยธรรม มองดูมัน รับรู้ และอยู่กันฉันมิตร

เธออยู่ของเธอไป

ฉันทำกิจที่ฉันควรทำไป

 

อ่านถึงประโยคสุดท้าย

..ยังมีบทเรียนที่มีลมหายใจ พูดได้ เดินได้ อยู่รายรอบตัวเราให้เรียนรู้...

 

ในอาชีพเราหรืออาชีพอื่นก็ตาม คำพูดนี้เป็นจริง

เหมือนธรรมของพระพุทธองค์ มีชีวิตกับปัจจุบัน

ขอบคุณบันทึกดี ๆ ค่ะ

 

ขอบคุณมากคะ ขออนุญาต เรียกพี่หมอเล็ก ตามคุณ poo ได้ไหมคะ :-)

รับรู้ได้ว่า พี่เป็นคนเย็น ละเอียดอ่อน
และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่เป็นนิจ

เป็นกำลังใจให้สนุกกับ Take vacation to learn English  นะคะ ;-)

 

ชอบค่ะ อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ " อดีตมีไว้ให้เรียน อยู่กับปัจจุบัน ใช้ศักยภาพของเราให้เต็มที่รู้"

สวัสดีวันหยุดนะคะ คุณแสงแห่งความดี :)

ขอบคุณคะครูนก
ทำให้นึกถึงเมื่อคืนได้ดูสารคดีชีวิตของ Bruce Lee ดารานักกังฟูในตำนาน
มีคำคม ที่ติดใจ
" “Adapt what is useful, reject what is useless, and add what is specifically your own.”

ทำให้ผมนึกถึง "ใบไม้ในกำมือ" ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท