๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔
เมื่อไรจะดีพอ แล้วเมื่อไรจะพอดีล่ะ
สวัสดีกัลยาณมิตรที่รัก
คำง่ายๆ สั้นๆ แค่เราเปลี่ยนตำแหน่งคำในประโยค ก็สามารถโยกคลอนความหมายได้ ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีความอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ชีวิตเราก็เช่นกัน...บางครั้งแค่เราเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน...ฉันเคยจมปลักอยู่กับความคิดแบบเดิม...ใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ซ้ำซากจำเจ...เป็นผลให้ล้มเหลวในชีวิตหลายประการ...และนั่นก็ทำให้ฉันคิดโทษสิ่งนี้ สิ่งนั้น คนนั้นคนนี้ จนสุขภาพจิตเสื่อมโทรม.... ปัจจัยภายนอกก็อาจส่งผลกระทบกับเราบ้าง... แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับเรามากที่สุด...ก็คือความคิดของเราเอง... เหมือนคำที่พระท่านเทศน์ว่า... สิ่งดี สิ่งชั่ว ไม่ได้วิ่งมาหาเรา...แต่เป็นเราเองต่างหากที่ไปเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านั้น.... ความสุขที่แท้จริงคือ...การไม่ทุกข์ไม่สุข...ในชีวิตนั่นเอง... ช่างเป็นคำกล่าวที่แสนง่ายดายกระไรปานนั้น... แต่เมื่อลองปฏิบัติ... แรกๆ ก็เบาๆ สบายๆ พอเวลาผ่านเลยไปสักนิด... จิตก็เริ่มคิดโน่นคิดนั่น เริ่มนำพาสิ่งทั้งหลายมารุมเร้ารกรุงรัง...
ถ้าอยากมีความสุขยืนยาว...ก็ต้องฝึกฝืนใจตัวเองไม่ให้ไหลไปตามแรงกิเลสสิ่งเร้า... แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ละทิ้งหน้าที่การงานนะ... จงทำงานให้หนัก ลดความอยากได้อยากเป็น กินอยู่อย่างพอดี... เบื้องแรกทำได้เพียงเท่านี้ก็ดีพอแล้ว...
อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณอดีตทั้งดีแลร้าย ที่ได้ช่วยให้ฉันได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้คิดและคิดได้ในหน้าที่การงานหลายประการ... บ่อยครั้งก็เคยท้อแท้แพ้พ่าย...แต่สุดท้ายก็เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้ง ช่างเป็นประสบการณ์อันน่าท้าทายอย่างยิ่ง... ฉันเคยพบความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน... แต่ทุกครั้งฉันก็ได้บทเรียนจากสิ่งที่ฉันทำ... เหมือนกับได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองมาเรื่อยๆ... ฉันเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าทุกเวลานาที...
ฉันเคยร่ำไห้ หัวเราะ ยิ้มทั้งน้ำตา พ่ายแพ้และชนะ.... ใช่...ฉันหมายถึงแพ้ใจตัวเองอีกทั้งชนะใจตัวเองด้วย... ฉันดำเนินชีวิตอยู่บนความขาดความเกินของชีวิต.... จนกว่าจะถึงที่สุดของชีวิตนั่นเทียว
ไม่มีความเห็น