เรื่องสั้น : อุบัติเหตุในคืนฝนพรำ


มีคนบอกไว้ว่า ถ้าหากว่าเราอยู่ในห้วงแห่งความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก จนเราเองก็คาดไม่ถึง ตรงกันข้ามถ้าหากว่าเรากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ระทมขมขื่น เวลาก็จะผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเวลาช่วงนี้จะยาวนานมากเลยทีเดียว ช้าหรือเร็ว จึงเป็นเรื่องของจิตใจค่ะ

 

 

 

 

 

(๑)

                “วันนี้ท้องฟ้าดูครื้มๆ เหมือนฝนจะตกนะ พ่อ!”  กานดาเอ่ยถามเอกชัยผู้เป็นสามี ในขณะที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ที่ระเบียงหน้าบ้าน

                “กรมอุตุฯ เขารายงานว่าวันสองวันนี้จะมีพายุเข้านะแม่  สงสัยบ่ายวันนี้ฝนคงจะเริ่มตกและคงจะตกติดต่อกันกันหลายวันด้วย  จนกว่าพายุจะพัดผ่านไป”  เขาชี้แจงให้ภรรยาฟัง

                “พ่อ! วันนี้แม่จะกลับดึกหน่อยน่ะ เพราะตอนเย็นจะมีการจัดงานเลี้ยงขอบคุณคณาจารย์ที่มหาวิทยาลัย คงจะกลับมาถึงบ้านราวๆ สามหรือสี่ทุ่มนะค่ะ”

                “ตามสบายเลยจ๊ะ  เพราะว่าคืนนี้พ่อก็จะไปงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จทางธุรกิจของลูกน้องคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่พ่อคงจะออกจากบ้านตอนค่ำโน่นแหละ “  เขาบอก  และกล่าวต่ออีกว่า “ ขับรถขับรา ก็ระมัดระวังหน่อยนะแม่ โดยเฉพาะตอนฝนตกหรือตอนมืดค่ำ  ถนนลื่นและอันตรายมากๆ  พ่อเป็นห่วงจ๊ะ” 

                “ขอบคุณค่ะ  แล้วแม่จะระมัดระวังอย่างดีเลย  ว่าแต่พ่อเองก็ต้องระวังด้วยเหมือนกันนะค่ะ อายุมากแล้ว สายตาเริ่มแย่แล้ว  อย่าซิ่งเร็วนักล่ะ  แม่เป็นห่วงจ๊ะ”   เธอพูดแหย่เขาเล่น  แล้วกล่าวต่อว่า   “พ่อ! พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบวันแต่งงาน 30 ปี ของเราน่ะ  เห็นลูกๆ ทั้ง 3 คน จะพากันหอบหลานๆ มาเยี่ยมเราด้วยแหละ  งานนี้คงจะสนุกสนานมากทีเดียว”

                “พรุ่งนี้รับรองมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้พวกเขาได้เห็นแน่นอน  คอยดูละกัน”     เอกชัยบอก   จากนั้นเขาก็วางหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะและลุกขึ้นจากเก้าอี้  แล้วก็เดินมาหากานดาซึ่งกำลังเตรียมกระเป๋าเอกสารสำหรับเดินทางไปทำงาน อยู่  เมื่อเธอเห็นเขาเดินมาหาและกางวงแขนขึ้น  เธอก็รีบเดินเข้าไปในอ้อมแขนของเขา  ทั้งเขาและเธอต่างก็โอบกอดกันไว้แน่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามีภรรยาคู่นี้ได้ปฏิบัติต่อกันทุกๆ วัน ก่อนที่จะออกไปทำงาน  เพียงแต่วันนี้ทั้งคู่อาจจะกอดกันเป็นเวลานานกว่าปกติสักหน่อยเท่านั้นเอง

                “ไม่น่าเชื่อเลยน่ะ ว่าเราจะแต่งงานกันมา 30 ปี แล้ว  วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน ทีแรกพ่อนึกว่าเราเพิ่งจะแต่งงานกันได้แค่ 10 ปี เท่านั้นเอง  ถ้าหากไม่มีอายุของลูกๆ เป็นเครื่องยืนยัน พ่อก็คิดว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”  เขากล่าวกับเธอด้วยความอ่อนโยน 

                “แต่มันก็เป็นไปแล้วนะค่ะ  มีคนบอกไว้ว่า ถ้าหากว่าเราอยู่ในห้วงแห่งความสุข เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก จนเราเองก็คาดไม่ถึง  ตรงกันข้ามถ้าหากว่าเรากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ระทมขมขื่น เวลาก็จะผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเวลาช่วงนี้จะยาวนานมากเลยทีเดียว  ช้าหรือเร็ว จึงเป็นเรื่องของจิตใจค่ะ”  เธออธิบายมิติของเวลาให้เขาฟัง

                “ขอบคุณมากๆ เลยจ๊ะ  ที่แม่ช่วยทำให้ชีวิตของพ่อมีความสุขและมีความอบอุ่นตลอดระยะเวลาที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา  ขอบคุณที่แม่ช่วยทำให้โลกของพ่อมีแต่ความสุขและมีความสว่างไสวตลอดเวลา ขอบคุณที่แม่ช่วยทำให้ชีวิตของพ่อมีคุณค่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงาม และมีความหมายมากยิ่งๆ ขึ้น   ขอบคุณจริงๆ จ๊ะ“   กล่าวเสร็จ  เขาก็คลายอ้อมแขนออกและจุมพิตที่หน้าผากของเธอด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ

                กานดารู้สึกน้ำตาคลอ และกล่าวกับเขาว่า  “ขอบคุณพ่อมากๆ เช่นกันนะค่ะ ที่พ่อได้มอบความรักความห่วงใยให้แม่และคอยดูแลห่วงใยแม่มาตลอดทั้งชีวิต รวมทั้งเป็นคุณพ่อที่แสนดีของลูกๆ มาตลอด  แม่รู้สึกภูมิใจมากๆ เลยที่ได้พ่อมาเป็นคู่ชีวิต  ที่ผ่านมาแม่ก็มีความสุขตลอดเวลาเลยจ๊ะ   ขอให้ความรักของเรายั่งยืนแบบนี้ไปตราบนิรันดร์นะค่ะ”  

                “แน่นอนจ๊ะ!  ความรักของเราจะยั่งยืนไปตราบนิรันดร์”  เขาบอกเธอ

                “เดี๋ยวแม่ขอตัวไปทำงานก่อนนะค่ะ  สายแล้ว”  เธอบอกกับสามี 

                “ตามสบายจ๊ะ”  เขากล่าว  และช่วยนำเอกสารต่างๆ เดินไปส่งเธอที่รถยนต์เก๋งใหม่เอี่ยม พร้อมทั้งเปิดประตูด้านคนขับให้เธอเข้าไปนั่ง จากนั้นก็ช่วยปิดประตูรถให้เธออย่างเบาๆ และยกมือโบกอำลาเธอ ก่อนที่รถของเธอจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ

 

(๒)        

               เขาเดินกลับมานั่งตรงที่เดิม และครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง  โดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งความสุขของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับกานดาตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา

                เขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกที่ได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต หากไม่ใช่เธอแล้ว  เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร จะเป็นอย่างที่เห็นหรือเปล่า  หากขาดเธอไปสักคน ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

                ตลอดช่วงกลางวันของวันนั้น เขาทำรีบทำงานหลายอย่างที่ค้างอยู่ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาเย็น  สายฝนก็เริ่มโปรยปรายตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้  ขณะที่ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดลง

                เมื่อแต่งตัวเสร็จ เขาก็เดินไปที่โรงจอดรถ จากนั้นก็ขับรถออกจากบ้านเพื่อไปให้ทันงานเลี้ยงที่ลูกน้องคนสนิทจัดขึ้น ซึ่งเขาไม่สามารถจะปฏิเสธได้ แม้ว่าฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักก็ตาม

                เขาขับรถฝ่าสายฝนพรำไปอย่างระมัดระวัง และเหลือบมองดูนาฬิกาที่ข้อมูลซ้ายอยู่เป็นระยะๆ เพราะเกรงว่าจะไปถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงช้ากว่าคนอื่น  ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของเขา

                เมื่อขับรถมาถึงตลาดแห่งหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่  จู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินกางร่มข้ามถนนมาอย่างกระชั้นชิด  เขารู้สึกตกใจอย่างสุดขีด และทันใดนั้น เขาก็รีบหักพวงมาลัยรถยนต์หลบไปทางขวามือ เพื่อไม่ให้ชนผู้หญิงคนนั้น

                “โครม!”  

                เสียงรถยนต์สองคันประสานงานกันดังสนั่นบนถนนกลางท้องตลาด ทำให้รถยนต์อีกหลายคันที่แล่นตามหลังมาต้องพากันเบรคอย่างกระทันหันดังเอี๊ยดอ๊าดไปหมด ส่วนรถยนต์เคราะห์ร้ายทั้งสองคันนั้นแหลกเหลวอยู่กลางถนนนั่นเอง

 

(๓)

                “จ่าด้วง! ได้หลักฐานอะไรบ้างไหม? พอจะทราบไหมว่าผู้ตายทั้งสองคนเป็นใคร?” 

              นายตำรวจหนุ่มซึ่งทำหน้าที่ร้อยเวรประจำสถานีตำรวจในค่ำคืนนี้กล่าวกับจ่าสิบตำรวจผู้เป็นลูกน้อง  ในขณะที่เดินทางมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ท่ามกลางเจ้าหน้าที่พยาบาล หน่วยกู้ภัย และไทยมุงอีกเกือบร้อยคน ในขณะที่สายฝนกำลังตกลงมาพรำๆ

                “ได้หลักฐานมาเรียบร้อยแล้วครับหมวด  เจ้าหน้าที่กู้ภัยค้นพบบัตรประชาชนและคู่มือรถยนต์ของผู้ตายทั้งสองคน  แต่ว่ามันแปลกมากๆ เลยนะครับ หมวด!” จ่าด้วงบอกกับผู้บังคับบัญชา

                “มันแปลกยังไง? บอกได้ไหมจ่า!”  นายตำรวจหนุ่มถาม

                “คืออย่างนี้ครับ หมวด! มันแปลกตรงที่ว่า คู่กรณีทั้งสองคน ทั้งฝ่ายชายเจ้าของรถกระบะสี่ประตูคันนั้น กับฝ่ายหญิงเจ้าของรถเก๋งใหม่เอี่ยมต่างก็นามสกุลเหมือนกัน และเมื่อดูคู่มือรถยนต์ทั้งสองคันแล้ว ล้วนแต่เป็นชื่อของฝ่ายหญิงทั้งสองคันเลยครับ  ตอนแรกพวกผมก็สันนิษฐานว่าทั้งสองคนน่าจะเป็นสามีภรรยากันน่ะ แต่บังเอิญมีบางคนรู้จักกับผู้ตายและยืนยันว่าทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันจริงๆ  ก็เลยรู้ว่าผู้ตายเป็นใคร แต่กลับมีข้อสงสัยใหม่ขึ้นมาแทนครับ”    จ่าด้วงอธิบายให้หมวดหนุ่มฟัง

                “หา! จริงรึจ่า? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ล่ะ?   แล้วจ่าด้วงสงสัยอะไรขึ้นมาอีกรึ?” หมวดหนุ่มถามด้วยความสงสัย

                “คือ ผมสงสัยจังเลยว่า ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้ครับ?”  

                “เออ! นั่นซิน่ะ  ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันน่าคิดอยู่ไม่น้อยเลย  เอายังงี้ละกัน เดี๋ยวจ่าด้วงช่วยสืบเรื่องนี้และนำมารายงานให้ผมทราบด้วยน่ะ  ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ถ้าได้ข้อมูลภายในคืนนี้ได้ยิ่งดีมากๆ เลย”  หมวดหนุ่มสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา

                “ได้ครับหมวด เดี๋ยวผมจะสืบและสอบถามข้อมูลจากหลายๆ คนดูครับ แล้วจะรายงานให้หมวดทราบโดยด่วนเลยครับ”  จ่าด้วงบอก

                “ขอบคุณมากครับจ่า”  

 

(๔)

 

              ดึกสงัดของคืนนั้น  นายตำรวจหนุ่มนั่งพิงเก้าอี้ทำงาน และหลับตาพริ้มอย่างครุ่นคิด  เขาไม่ได้นั่งหลับแต่อย่างใด หากแต่กำลังนั่งคิดคำนึงถึงสาเหตุของอุบัติเหตุที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสักครู่

              อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ?  มันเป็นความตั้งใจหรือว่าความบังเอิญ? เ ป็นการสมรู้ร่วมคิด หรือว่าเป็นเรื่องของพรหมลิขิตและโชคชะตา?   ที่ทำให้สามีกับภรรยาต้องพบกับโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าเช่นนี้

              ก๊อก ก๊อก ก๊อก   เสียงเคาะประตูดังขึ้น

             “ขออนุญาตรายงานข่าวครับหมวด”  จ่าสิบตำรวจคนเดิมตะเบ๊ะทำความเคารพและกล่าวขึ้น

             “เป็นยังไงบ้าง  ได้ความคืบหน้าอะไรบ้างหรือเปล่า?”  หมวดหนุ่มถามด้วยความกระตือรือร้น

             “ได้มาเยอะแยะเลยครับ  เดี๋ยวผมขอรายงานให้หมวดฟังเลยดีกว่า”  

              “ว่ามาเลยครับจ่า  ผมกำลังรอฟังอยู่พอดีเลย”   เขาบอกให้จ่าด้วงรีบรายงานข่าวให้ฟัง

              “คือยังงี้ครับหมวด!  หลังจากที่เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายศพของผู้เคราะห์ร้ายไปไว้ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมก็ได้ประสานงานไปหาผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เพื่อให้เขาแจ้งให้ญาติๆ ได้ทราบและรีบมาดูศพที่โรงพยาบาล  หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนเดินทางมาที่โรงพยาบาลเกือบร้อยคนเลยทีเดียว  พอทุกคนได้เห็นศพของทั้งคู่แล้ว  ต่างก็พากันร้องไห้ระงมไปหมด จนทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจตามไปด้วย

              ผมได้สอบถามผู้ใหญ่บ้านเกี่ยวกับครอบครัวของผู้ตาย เขาบอกว่าสามีและภรรยาคู่นี้มีชีวิตที่งดงามมาก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น  สามีเป็นนักธุรกิจขายตรง ส่วนภรรยาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาหลายสิบปี ไม่เคยมีปากเสียงกันเลย รักและดูแลกันอย่างดี ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร  ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน  มีอะไรก็จะช่วยเหลือตลอด จนกลายเป็นคนที่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านพากันรักและให้ความเคารพนับถืออย่างมาก   แต่พอทั้งคู่เสียชีวิตลงอย่างเหลือเชื่อเช่นนี้ ก็เลยทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกโศกเศร้าและเสียใจอย่างที่สุด  ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่ญาติๆ เท่านั้น  หากแต่รวมถึงผู้คนทั้งหมู่บ้านด้วย  แต่ที่น่าเศร้าไปมากกว่านั้น ก็คือพรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบ 30 ปีแห่งการแต่งงานของทั้งคู่ด้วยนะครับ น่าเศร้าจริงใจๆ 

               อ้อ!....อีกอย่าง  มีพยานคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุเล่าว่า  ตอนเกิดเหตุนั้น เขามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกางร่มและกำลังเดินข้ามถนน ในขณะที่รถยนต์ของฝ่ายชายวิ่งฝ่าสายฝนมา และพอมองเห็นผู้หญิงกำลังเดินข้ามถนนแบบกระชั้นชิด คาดว่าคงจะตกใจมาก ก็เลยหักพวงมาลัยรถหลบไปทางเลนขวามือ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายหญิงขับรถสวนมาพอดิบพอดี โศกนาฏกรรมอันเหลือเชื่อนี้ก็เลยเกิดขึ้น” 

               จ่าด้วงรายงานด้วยอาการที่รู้สึกสะเทือนใจอย่างเห็นได้ชัดเจน

               “ขอบคุณครับจ่า ที่กรุณานำเรื่องนี้มารายงานให้ผมทราบ  ทำให้ผมพอจะคาดเดาถึงสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เสียชีวิตลงได้”  หมวดหนุ่มกล่าวขอบคุณผู้ใต้บังคับบัญชาที่อาวุโสมากกว่า

               “ไม่เป็นไรครับ  มันเป็นหน้าที่ของผมโดยตรงอยู่แล้ว ที่จะต้องทำการสอบสวนและสืบสวนเพื่อนำข้อมูลมาให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ”  จ่าด้วงกล่าว

               “เอ่อ!  จ่าครับ  จ่าเชื่อเรื่องเดสทินี่ไหมครับ? ผมหมายถึงเรื่องของชะตากรรม โชคชะตา หรือพรหมลิขิต อะไรทำนองนี้น่ะ”   หมวดหนุ่มถามขึ้นลอยๆ

                จ่าสิบตำรวจ ตอบขึ้นว่า   “เชื่อซิครับหมวด  ผมเชื่อเรื่องนี้มาตลอดเลย  แม้แต่เรื่องการเสียชีวิตของสามีภรรยาคู่นี้  ผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะพรหมลิขิตนะครับ  เลยทำให้เกิดอุบัติที่เหลือเชื่อเช่นนี้ขึ้น   ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตของผม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ครับ ที่ได้เห็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้” 

              “ผมก็เหมือนกันครับจ่า  ที่ผ่านมาเคยได้เห็นแต่สามีภรรยาหึงหวงและทะเลาะกัน บางรายถึงกับบ้าเลือดขนาดขับรถชนอีกฝ่ายตายก็มี  แต่ที่เป็นแบบกรณีของสามีภรรยาคู่นี้ ผมยังไม่เคยเห็นเลยจริงๆ”   หมวดหนุ่มเสริมขึ้น

               “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปครับ?”  จ่าด้วงถามขึ้น

               “จ่าก็ไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กๆ น้อยๆ น่ะ  จากนั้นก็จะได้สรุปสำนวนและปิดคดีเลย เพราะเรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนอะไร เป็นเพียงอุบัติเหตุธรรมดาๆ เท่านั้น   แต่ที่เราต้องทำเป็นสำนวนคดีขึ้น ก็เพื่อจะได้ให้ทายาทของผู้ตายนำไปใช้สำหรับการขอรับผลประโยชน์จากบริษัทประกันต่างๆ ทั้งประกันภัยและประกันชีวิต ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ทายาทของเขาควรจะได้ และเราก็ต้องอำนวยความสะดวกให้เขาด้วย”   หมวดหนุ่มอธิบาย

               “รับทราบครับผม   เอ่อ!  ว่าแต่ว่า  หมวดจะให้ชื่อสำนวนคดีนี้ว่าอย่างไรครับ?”   จ่าถามด้วยความสงสัย

               “อุบัติเหตุในคืนฝนพรำ”    หมวดหนุ่มยิ้มและตอบสั้นๆ.

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 449111เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2011 23:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ

อ่านแล้วได้ข้อคิดค่ะ

พระท่านว่าคนเราเกิดมาถูกตัดสินประหารชีวิตไว้แล้วตั้งแต่เกิด เพียงแต่ไม่รู้ช้าหรือเร็วและไม่รู้วิธีเท่านั้น พึงใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทและหมั่นทำความดีไว้

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

สวัสดีครับคุณ อักขณิช ศรีดารัตน์

เป็นเรื่องสั้นที่อ่านแล้ว ทำให้เรากระทำแต่กรรมดี ไม่ประมาท เหมาะกับช่วงเข้าพรรษานี้เลยครับ

สวัสดีครับ คุณถาวร และ คุณ พ.แจ่มจำรัส

ขอบคุณมากๆ ครับ ที่กรุณาแวะเข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจ

ผมเขียนเรื่องสั้นเก็บเอาไว้หลายเรื่อง เอาไว้จะค่อยๆ ทะยอยลงให้ได้อ่านนะครับ

อ่านเสร็จแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง ก็บอกกล่าวได้นะครับ จะได้เก็บส่วนดีไปเป็นกำลังใจและนำเอาส่วนที่บกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป

ขอบคุณครับ

รักกัน..จนวันตาย

ชื่อนี้..ใช้ได้มั๊ยคะ

สวัสดีครับ คุณครู ป.1

ใช้ได้เหมือนกันครับ

แล้วแต่มุมมองของผู้อ่านครับ

เนื้อเรื่องเดียวกัน แต่มุมมองของผู้อ่านอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง

ซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไร.....ทุกมุมมองล้วนถูกต้องทั้งหมดนะครับ

ขอบคุณมากๆ ครับผม ที่กรุณาติดตามอ่าน

อุบัติเหตุในคืนฝันพรำ คิดถึง ท่านหนานฯ เลยค่ะ

สวัสดีครับ คุณ Poo

ผมก็คิดถึงท่านเกียรติเหมือนกันครับ เพราะเคยทำงานกับท่านมาช่วงหนึ่ง เกือบๆ 1 ปีเต็ม

ท่านไปไหนไม่ค่อยบอกกล่าวใครน่ะ แม้เมื่อท่านจากไปคราวนี้ก็เหมือนกัน....น่าเศร้าจริงๆ ครับ

อืม...."ฝันพรำ" ของคุณ Poo คงจะแตกต่างจาก "ฝนพรำ" ของผม....นะครับ (อำเล่นน่ะ คิคิคิ)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท