อนาคตประเทศไทย


อีกมุมมองหนึ่งของความเป็นประชาธิปไตย

          ป่านนี้ พวกเราทุกคนคงทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว บางคนอาจจะถูกใจ หรือบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็แล้วแต่ เพราะแต่ละคนคงมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป รักใครชอบใครก็สนับสนุนกันไป

          สิ่งที่ผมอยากให้พวกเรามอง คือ ความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นจากการเลือกตั้งครั้งนี้ พวกเราได้เห็นอะไรกันบ้าง ผมเชื่อว่าอาจจะเห็นไม่เหมือนกัน มีอยู่มิติหนึ่งที่ผมเห็น แต่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ก็แล้วแต่ที่จะคิดนะครับ

          สิ่งที่ผมเห็น ก็คือ การเมืองไทยมีแนวโน้มว่าพรรคการเมืองจะลดน้อยลงไป เพราะบ้านเราจะเหมือนทางยุโรปหรืออเมริกาไปทุกที ในอนาคตจะมีไม่กี่พรรคที่ต่อสู้ทางการเมืองกัน พรรคเล็ก พรรคน้อยจะค่อย ๆ หมดไป เพราะทำอย่างไรก็สู้พรรคใหญ่ที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบไม่ได้ แต่ถ้าพรรคเล็ก ๆ ปรับตัวเป็นพรรคท้องถิ่นอย่างพรรคหนึ่งแถบภาคตะวันออก ก็นับว่าพออยู่ได้

          โดยในที่สุดจังหวัดต่าง ๆ ก็จะมีแต่พรรคระดับจังหวัดเท่านั้น จังหวัดใครจังหวัดมัน ไม่ต้องมีรัฐบาลกลางหรืออย่างไร แต่คิดว่าคงเป็นไปได้ยาก คงเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่อาจจะคาดเดาได้

          สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องคาดเดา เพราะค่อนข้างเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้อยู่แล้ว คือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล คงต้องเหนื่อยชนิดที่หืดขึ้นคอแน่ ๆตราบใดที่ประชาชนคนไทย ยังไม่รู้จักการยอมรับถึงผลของการแพ้ชนะ และรวมไปถึงการให้อภัยด้วย หรือพวกเราคิดว่าไม่จริง?

         

 

หมายเลขบันทึก: 447246เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2011 11:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 19:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีครับ

ผมคิดว่าอนาคตทุกประเทศจะไม่มีพรรคการเมืองหรือแม้แต่นักการเมืองเลยด้วยซ้ำ
ที่บอกแบบนี้ต้องเท้าความก่อนว่า ระบบการเลือกตั้งแบบปัจจุบัน (เลือกตั้ง 4 ปี ครั้ง มีผู้แทนประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ) มันเกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว และก็ไม่ได้มีการปรับปรุงระบบนี้มาให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในสมัยปัจจุบัน

แต่ก่อนเราต้องเลือกตั้ง 4 ปีครั้ง เพราะ การคมนาคมไม่สะดวก เราไม่สามารถจะเลือกตั้งกันบ่อยๆ ได้ เพราะมันสิ้นเปลืองงบประมาณ พอถึงตอนนี้ หากเราต้องการจะโหวตอะไร เราไม่ต้องออกจากบ้านด้วยซ้ำ หยิบมือถือขึ้นมาก็โหวตได้เลย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการเลือกตั้งทุก 4 ปี ทุกนโยบายที่ต้องการออกสามารถทำประชานิยมโดยไม่ต้องมาตั้งคูหาอะไร ให้เสียทั้งเงินทั้งเวลา

ข้อสองความรู้ของคน เมื่อก่อนคนที่มีการศึกษามีน้อย คนที่มาเป็นรัฐบาลจึงต้องเป็นคนฉลาด มีการศึกษา จะได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญๆได้ดีกว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว นักการเมืองไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดกว่าคนทั่วไปแต่อย่างใด (หลายครั้งก็ฉลาดน้อยกว่ามาก) ยิ่งกว่านั้นนโยบายประเทศมีด้านต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเทคโนโลยี การศึกษา สาธารณสุข คมนาคม ฯลฯ แต่คนที่ทำหน้าที่ตัดสินใจว่านโยบายจะผ่านหรือไม่ผ่าน กลับเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในด้านนี้ (ซึ่งจะให้ทุกคนในสภา รู้และเชี่ยวชาญทุกด้าน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้) วิธีการเอาคนบางคนมาเป็นตัวแทนประชากรทั้งหมด ด้วยความหวังว่าเค้าจะฉลาดกว่าและตัดสินใจได้ดีกว่า จึงไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง

ผมคิดว่าอนาคตเราคงได้มีพรรคการเมืองจาก facebook ที่ให้คนทุกคนได้โหวตว่าจะเอานโยบายอะไร หรือไม่เอาอะไร ทุกคนไม่จำเป็นต้องโหวตในทุกๆนโยบาย เอาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง ตัวเองมีความเชี่ยวชาญ น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง

เห็นด้วยกับคุณปีย์...มองเป็นปัจจุบัน..ดีค่ะ...

มาถึงตอนนี้ เป็นยุคที่ทหารครองเมือง แต่หนูกลับเห็นด้วยนะค่ะ เพราะคนที่จะเป็นนายก ที่ผ่านมามาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นสีไหน อะไรก็ตาม เข้ามา เรายังไม่เห็นการพัฒนาบ้านเมืองที่เป็นจริงเป็นจังซะที คือ มันคือการจัดแค่เปลือกของประเทศไทย เท่านั้น หากจะแก้ไข้ปัญหาบ้านเมืองให้อยู่ดีกินดี มีระบบพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี ต้องพัฒนาจากรากฐานบ้านเมือง ต้องมาสำรวจแล้ว อะไรคือรากฐานบ้านเมือง บ้านเราเหมาะสำหรับเกษตร เหมาะทำกสิกรรม บ้านเราไม่เหมาะเป็นที่ทิ้งขยะอุตสาหกรรม พื้นที่ทำนาเรากลายเป็นโรงงาน โรงงาน สะสมความโลค กิเลศ หนูชอบระบบที่รัฐบาลปัจจุกำลังแก้ไข คือการแก้ไขไปยังบที่รากของเกษตรกร ทำให้เชามีความรู้ ทำให้เขายืนให้ได้ ไม่ใช่แค่ให้เงิน แต่ส่ิงสำคัญคือการให้ความรู้ ทหารเขาเก่งเรื่องกลยุทธ์ในการรบ เพียงแต่ว่าวันนี้ ข้าศึกไม่ได้เป็นศัตรู แต่ความไม่เข้าใจ ความไม่เข้าถึงของปัญหาของรากฐานของประเทศยังไม่ได้ถูกแก้ไขให้ดีที่สุด...

ถึงแม้เราจะได้นายกจากรัฐประหาร แต่บ้านเมืองเราปรกติดี มีความสุข เราไม่มีสี ฉนั้น สิ่งที่เรียกว่าประชาธิไตร มันคือสิ่งสมมุติ ขึ้นมา

เราคงต้องดูผลลักษ์ มากกว่าวิธีการ ว่าเราได้มาอย่างไร แม้มันอาจไม่ถูกตามทฤษฎี แต่เรามีความสุขกันเราก็น่าจะพอใจ

แม่ข้าวสวยก้ไม่เข้าใจเรื่องการเมืองเท่าไหร่ ในฐานะแม่บ้าน แต่เราเป็นคนนึงในสังคม เห็นบ้านเมืองสงบสุขดี เราก็พอใจแล้ว

ส่วนอีกไม่นาน เราก็จะได้เลือกตั้งกันใหม่แล้ว ก็ขอให้เราได้คนดีเข้ามา แล้วกัน

แม่ข้าวสวย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท