๖. ท่องราตรี กทม. : ข้อคิด "ครั้งแรก" ของเธอ...


ผมกับเพื่อนและสาวงามวัยละอ่อน ลาจากกันท่ามกลางความวุ่นวายภายในร้านเนื่องจากเป็นเวลาที่ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว ไฟราคะในตัวนักเที่ยวทั้งหลายที่คลุกเคล้าเข้ากับแอลกอฮอล์ กำลังคุกกรุ่นเต็มที่ หลายคู่กำลังหอบหิ้วกันไปสู่นรกที่หลายคนหลงคิดว่าคือสรวงสวรรค์

ผมกับเพื่อนอีกสองคนมาอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านสะพานควาย(ขอสงวนนาม) ที่มีห้องคาราโอเกะ และสาวงามที่ยึดอาชีพเต้นโชว์เรืองร่างอีกกว่าสามสิบชีวิตคอยให้บริการ  ซึ่งแต่ละนางดูเหมือนจะพร้อมอวดเรือนร่างสะโอดสะองต่อสายตาชายไทยและชายเทศ (ที่ตั้งใจ และแอบหนีเมียมาเที่ยว) อย่างไม่มีใครยอมใคร  ซึ่งหากว่าไปแล้วเราสามคนมาที่นี้ด้วยความบังเอิญมากกว่า เหตุเพราะก่อนหน้านี้เราได้นัดทานข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว แต่ด้วยการที่เราไม่ได้เจอกันมานานเป็นสิบๆ ปี บวกกับพายุฝนที่สาดกระจายเข้ามาในร้าน เหมือนจะบีบบังคับให้เราต้องออกจากร้านก่อนเวลาอันควร

 

เมื่อเราเห็นว่ายังไม่ดึกมากนักจึงคิดกันว่าเราน่าจะนั่งแท็กซี่ชมเมืองหลวงในยามค่ำคืนสักหน่อย ทันทีที่คิดได้เราสามคนจึงออกมายืนรอแท็กซี่อยู่ริมถนนเพื่อชื่นชมทัศนียภาพในยามราตรี แต่การนั่งแท็กซี่ในยามฝนตกที่ กทม. ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว เพราะจากระยะเวลาที่รอเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง  ไม่มีแท็กซี่ว่างให้เราสามคนนั่งแม้แต่คันเดียว แผนการจึงถูกกำหนดขึ้นมาใหม่แบบปัจจุบันทันด่วน โดยเปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อไปลงที่สถานีจักรตุจักรแทน ภายใต้หลักคิดที่ว่าที่นั่นคงมีรถแท็กซี่ให้เรานั่งมากมาย

 

แต่เราต้องพบกับความผิดหวังซ้ำสอง เมื่อที่นี่ไม่มีแท็กซี่ที่ว่างพอจะรับเราสามคนได้แม้สักคันเช่นกัน หนึ่งในเพื่อนร่วมทางจึงเสนอให้นั่งรถไฟลอยฟ้าไปลงที่สถานีสะพานควาย และหาดูชมอะไรแถวนั้นก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ เราเดินอยู่พักใหญ่ ผ่านร้านโน้นร้านนี้อยู่สักสามสี่ร้าน สุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกร้านแห่งหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ที่ดูกว้างขวางใหญ่โต และมีสาวๆ และผู้คนจำนวนมากนั่งกันอยู่ภายในร้านโดย  เราเลือกที่จะนั่งแถวกลางไม่ห่างจากห้องน้ำ และเวทีมากนัก

 

ทันทีที่ก้นแตะโซฟานุ่มๆ กัปตันที่รูปร่างดี แต่ความแมนเหลือน้อยไปหน่อย ก็นำเสนอเมนู อาหาร + เครื่องดื่ม และสาวๆ ให้กับเรา แต่ด้วยเจตนาของการมาเพียงเพื่อเรียนรู้ ผมจึงปฏิเสธที่จะเอาสาวงามมานั่งเป็นเพื่อน แต่กระนั้นกัปตันใจดีก็เจ้ากี้เจ้าการจัดมาให้จนได้ อาจเป็นเพราะโต๊ะที่เรานั่งจุคนได้สี่คน  กัปตันผู้นี้จึงจัดหญิงสาวนางหนึ่ง (ดูจะมากประสบการณ์ทั้งอายุงาน และท่วงท่า) โดยให้นั่งคู่กับเพื่อนเราที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่ขณะนั้น ส่วนผมกับเพื่อนอีกคนเราเลือกนั่งคู่กันอีกฝั่งหนึ่ง (ไม่ทราบว่าเพราะ NO โสดหรือเปล่า) แต่สักพักกัปตันคนเดิมก็จัดหญิงสาวรูปร่างบางอีกนางมากวนใจ และกวนไฟราคะผมและเพื่อนจนจนได้ โดยจัดให้นั่งคั่นกลางระหว่างผมกับเพื่อนพอดี แต่ด้วยความที่เธอยังดูเด็กนักทุกคำพูดที่เรียกเราสองคนจึงเป็น น้า... กับอา... แทนที่จะเป็นพี่ (มันคงบ่งบอกทางริ้วรอยใบหน้า...555…) เราจึงเน้นไปที่การสนทนามากกว่าการจุดไฟราคะ

 

ด้วยหน้าตาเธอที่ดูละอ่อน จึงทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอยังเรียนหนังสืออยู่หรือไม่.. ทำไมเธอถึงมาทำงานที่นี่.. และทำมานานแค่ไหน  ฟังดูอาจเป็นคำถามสิ้นคิดไปนิดแต่เมื่อมันเกิดขึ้นในวงสนทนาที่ดูกันเองแบบน้า – หลาน ก็ได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจไม่น้อย (หากสิ่งที่เธอเล่าเป็นเรื่องจริง) เพราะจากคำบอกเล่าของเธอทำให้ทราบได้ว่า เธออายุ 18 ปี มาทำงานที่นี่ได้สองอาทิตย์ อาศัยอยู่กับตายาย แถวดอนเมือง พ่อกับแม่แยกกันอยู่คนละที่ และเธอกำลังเรียนอยู่ชั้น ปวส.2 ด้านบัญชี ณ สถาบันแห่งหนึ่งใกล้บ้านเธอนั่นเอง ผมถามต่อโดยลืมเรื่องมารยาทไปอีกว่า แล้วมาทำงานอย่างนี้บอกกับยายว่ายังไง เธอรีบตอบทันทีว่า “บอกยายว่ามาทำงานเซเว่นอีเลฟเว่น...”

 

การสนทนาระหว่างเราดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนหนึ่งที่ผมถามถึงการออกไปค้างแรมกับแขกนอกสถานที่ ซึ่งมันถือเป็นเรื่องธรรมดาของร้านอาหารลักษณะนี้อยู่แล้ว จึงได้คำตอบจากเธอว่า “หนูเคยครั้งเดียว... และหนูเสียใจมากกับครั้งนั้น... คือ..มันไม่ใช่ว่าเสียใจธรรมดา มันเจ็บใจมากกว่า เจ็บใจที่เราเสียครั้งแรกให้กับเขา แล้วเขากลับมองเราไม่มีค่า ใช้คำพูดกับเราแรงๆ ซึ่งหนูคิดว่าจะไม่ไปอีกแล้ว” คือคำบอกเล่าของหญิงสาวที่ดูสดใสเสียจนผมไม่อยากเชื่อว่าเธอจะอายุสิบแปด เพราะทั้งรูปร่าง หน้าตา ตลอดจนทรวดทรง ที่ผมเห็นอีกทั้งการพูดการจาเหมือนจะบ่งบอกว่าเธอเพิ่งจะอายุสิบห้าด้วยซ้ำ (คุยกับสาวกลางคืนต้องใช้วิจารณญาณมากเป็นพิเศษ) หากแต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะขอดูบัตรประชาชนของเธอเพื่อตรวจสอบอายุ

 

มันคือการบอกเล่าที่สะท้อนถึงอารมณ์ในขณะนั้นว่า “วันนั้นเธอพึ่งมาทำงานได้สองวัน ยังไม่รู้อะไรเป็นอะไร  มีกัปตันท่านหนึ่งถามเธอว่าไปกับแขกไหม เธอตอบตกลงด้วยหลงเข้าใจว่าให้ไปนั่งกับแขก แต่กลับกลายเป็นให้เธอไปนอนกับแขก เธอปฏิเสธไม่ได้ด้วยหากเธอไม่ไปทางร้านจะปรับเธอ  เธอจึงจำใจต้องไปซึ่งทำให้เธอได้รับความเจ็บปวดทั้งกาย และใจที่ยากจะลบเลือนในค่ำคืนนั้น เธอเสียดาย...ครั้งแรกของเธอ...” จะเป็นด้วยชะตาฟ้าลิขิต หรือโชคไม่เข้าข้างเธอก็มิอาจทราบได้ เธอรู้เพียงว่าการไปนอนกับชายครั้งแรกของเธอในการทำงานกลางคืน กลับกลายเป็นว่าเธอต้องเจอะเจอกับผู้ชายคนนี้แทบทุกวัน เพราะเขาทำงานอยู่ใกล้บ้านเธอพอดี มันจึงเป็นความเจ็บปวดที่ฝังใจเธอเพราะทุกครั้งที่เจอ ทั้งสายตาและคำพูดของชายคนนี้ ไม่ต่างจากมีดที่กรีดใจเธอเสมอ....

 

ไม่รู้ว่าสิ่งที่สาวงามละอ่อนนางนี้เล่าจะเชื่อได้แค่ไหน เพราะเพียงเธอตัดสินใจก้าวเข้ามาใช้ชีวิตสาวกลางคืน เชื่อว่าในสายตาคนทั่วไปย่อมมองว่าเธอได้ทำคุณค่าในตัวเธอหล่นหายไปเยอะ แต่สำหรับผมยังเชื่อและมองโลกในแง่ดีว่าสิ่งที่เธอเล่าอาจมีส่วนจริงอยู่บ้าง อย่างน้อยกับวัยของเธอที่ต้องอาศัยอยู่กับตายาย พ่อแม่แยกทางกัน ทั้งยังต้องส่งเสียตัวเองเรียนต่อ แม้เธอจะไม่บอกเล่าเหตุผลที่แท้จริง แต่ก็เชื่อว่ากับค่าครองชีพในยุคปัจจุบัน โอกาสที่เธอจะเลือกคงมีได้ไม่มากนัก และได้แต่ภาวนาว่าขอให้อาชีพกลางคืนของเธอเป็นเพียงอาชีพชั่วคราว เพื่อส่งเธอให้ได้ประกอบอาชีพที่ดีและมั่นคงต่อไป

 

ผมกับเพื่อนและสาวงามวัยละอ่อน ลาจากกันท่ามกลางความวุ่นวายภายในร้านเนื่องจากเป็นเวลาที่ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้ว ไฟราคะในตัวนักเที่ยวทั้งหลายที่คลุกเคล้าเข้ากับแอลกอฮอล์ กำลังคุกกรุ่นเต็มที่ หลายคู่กำลังหอบหิ้วกันไปสู่นรกที่หลายคนหลงคิดว่าคือสรวงสวรรค์ หากแต่ยังดีที่พวกเราทั้งสามคนมิได้หลงไปกับเขา แต่กระนั้นการท่อง กทม. เพื่อชมราตรีในค่ำคืนนี้ก็ทำให้ผู้มีรายได้น้อยอย่างเราสามคนคงต้องกลับมาปรับงบประมาณรายจ่ายประจำเดือนใหม่อีกระรอกใหญ่  คงดีไม่น้อยหากนักการเมืองจะรักษาคำพูดที่ว่า “คนจบปริญญาตรีจะได้มีเงินเดือนเริ่มที่หมื่นห้าพันบาท” 555+++....

หมายเลขบันทึก: 447034เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2011 20:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้าจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

ตามมาให้กำลังใจเหมือนเดิมค่ะ

ขอบคุณ คุณวิมลครับ

แหม..นี่ถ้าไม่ได้ คุณวิมล นี่บล๊อกผมคงเงียบเลยเนาะ...

 ขอบคุณ Nora Poo Sitta ครับที่ตามให้กำลังใจอยู่ตลอด ไว้ว่างๆ ผมจะหมั่นไปเยี่ยมบ้างนะครับ...

ขอบคุณ ดร. จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ ครับที่แวะมาให้กำลังใจ นานเลยครับที่ไม่ได้แวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยียนบันทึกเก่าๆ จงบางคราวไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาให้กำลังใจ.. ขอบคุณอีกครั้งครับ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท