บริหารแบบมีส่วนร่วม


บริหารแบบมีส่วนร่วม
กรอบแนวคิด
-  ความหมายและความสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
-  การมีส่วนร่วมของบุคคลต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้อง
-  แนวทางการสร้างและสนับสนุนการมีส่วนร่วม
-  ปัญหาและข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม

 

‏ความหมายและความสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม


         “การบริหาร”   ความหมาย  คือ  กระบวนการวางแผน  การจัดองค์การ  การสั่งการและการควบคุม  การปฏิบัติการในองค์การ   และการใช้ทรัพยากรอื่น ๆ  ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร   หรืออีกความหมายหนึ่ง  คือ  กระบวนการทำงานเพื่อก่อให้เกิดการทำงานที่เป็นผลสำเร็จด้วยการใช้บุคคล   และทรัพยากรต่าง ๆ  อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุซึ่งเป้าหมายของความต้องการ

 


         “การมีส่วนร่วม”    ความหมาย   คือ   ทรัพยากรในการบริหารที่เป็นส่วนของบุคคลในแต่ละระดับการปฏิบัติมีส่วนในกระบวนการวางแผน   การจัดองค์กร  การสั่งการ  และควบคุมการปฏิบัติในแต่ละส่วน ๆ   อย่างเต็มความสามารถ   ทั้งในทิศทางเพื่อการปฏิบัติด้านเดียว  หรือการนำเสนอซึ่งความคิดในการดำเนินการตามกระบวนการนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

         “การบริหารแบบมีส่วนร่วม”    จึงหมายถึง   การที่บุคคลในองค์กรหรือต่างองค์กรได้ร่วมกันเพื่อจัดการงานให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสำเร็จ  ทั้งนี้  การมีส่วนร่วมนั้น ๆ   จะอยู่ในขั้นตอนใด ๆ  ก็ตาม   โดยขึ้นอยู่กับความรู้   ความสามารถ  ประสบการณ์   ข้อจำกัดขององค์กรในแต่ละกระบวนการของการดำเนินการบริหารเป็นเกณฑ์

         บุคคลในการมีส่วนร่วมเพื่อการบริหารงานหรือการจัดการงาน   สามารถที่จะแยกได้กว้าง ๆ  คือ
             -     ภายในองค์กรจะประกอบด้วย   ผู้บังคับบัญชา  (ผู้บริหารระดับสูง)  ผู้บริหารระดับกลาง  (กลุ่มงานต่าง ๆ)  และผู้ปฏิบัติ (คนงาน ผู้ทำงานระดับล่าง) สายสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กรจะเป็นไป  ตามลักษณะบังคับบัญชาตามลำดับ โดยทั่วไปขององค์กรแล้วจะมีข้อกำหนดไว้เป็นแนวทางอย่างชัดเจน   ซึ่งทุกระดับต้องปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการเสมอ   การมีส่วนร่วมเพื่อการจัดการในองค์กรจึงเป็นในทิศทางเพื่อการปรับปรุง  พัฒนา  หรือแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของการดำเนินการในแต่ละองค์ประกอบ   ความจำเป็นของการมีส่วนร่วมอาจไม่ทั้งหมดของบุคคลในทุกระดับ   อาจเฉพาะเพียงแต่ในระดับเดียวกันเท่านั้น   หรือเหนือขึ้นไปในระดับหนึ่งก็เป็นไปได้   ลักษณะการมีส่วนร่วมของการจัดการหรือบริหารภายในองค์กรมีรูปแบบต่าง ๆ  ตามสถานการณ์ที่เหมาะสม   รูปแบบเบื้องต้นก็คือการเสนอเช่นข้อคิดเห็นเป็นเอกสาร   ผ่านกระบวนการสอบถามหรือโดยส่งเอกสาร
             -     ต่างองค์กรจะประกอบด้วยในหลายลักษณะ  ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่จัดกระทำในระดับผู้บริหารระดับสูง   การมีส่วนร่วมจะเป็นในรูปของการให้ความเห็นข้อคิด   แลกเปลี่ยนหรือสนับสนุนเพื่อการจัดการ   หรือระดับผู้ปฎิบัติก็เป็นในทิศทางของการจัดการร่วมกันในกิจกรรมอย่างเดียวกัน   ทั้งนี้โดยผลประโยชน์ขององค์กรทั้งสองต้องไม่ขัดแย้งหรือมีการสูญเสียผลประโยชน์ต่อกันในรูปใด ๆ
                   ในการมีส่วนร่วมของบุคคลในระบบราชการจะเห็นได้ว่ามีในหลายลักษณะเช่นเดียวกับรูปของ  องค์กรในปัจจุบัน   กรณี  ภารกิจการดำเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่ต้องมีบทบาทและหน้าที่สัมพันธ์ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคลในสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดต้องเป็นผู้มีภารกิจหน้าที่เพื่อการสำรวจออกแบบประมาณการต่องานขององค์กรปกครองท้องถิ่นหรือ   (อบต.)   เพื่อโครงการถ่ายโอนกิจกรรมบริการสาธารณะต่าง ๆ  การก่อให้เกิดความมีส่วนร่วมของบุคคลในท้องถิ่น  จะเป็นผลให้การปฏิบัติงานตามภารกิจบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์   กลไกต่าง ๆ  ในกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมเป็นเรื่องที่ต้อง  ดำเนินการอย่างมาก

                   ความสำคัญของการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม   เป็นเหตุผลที่จำเป็นต่อการบริหารหรือการจัดการองค์กร  คือ
          1)  ก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในการปฏิบัติงานที่มุ่งหวัง
          2)  กระบวนการตัดสินใจสามารถรองรับพฤติกรรมของบุคคลในองค์กรได้กว้างขวางและเกิดการยอมรับได้
          3)  เป็นหลักการของการบริหารที่เป็นผลต่อการดำเนินการเชิงวิเคราะห์ด้วยเหตุผลวิวัฒนาการเพื่อความคิด  (การเปิดกว้าง)   การระดมความคิด  (ระดมสมอง)  ซึ่งนำไปสู่   การตัดสินใจได้
          4)  ลดช่องว่างของระบบการสื่อสารในองค์กรและขจัดปัญหาความขัดแย้งได้

 

การมีส่วนร่วมของบุคคลต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้อง

         ในองค์กรของการปฏิบัติงานใด ๆ จะปรากฏบุคคลในระดับต่าง ๆ ปฏิบัติงานเพื่อการนั้น ๆ โดยสังเขป   อาทิ   ผู้นำองค์กร   (ผู้บริหารระดับสูง)   ได้แก่   หัวหน้าสำนักงาน  ,  ผู้จัดการ  หรือประธานกรรมการ-  บริษัท  ฯลฯ    ผู้บริหารระดับกลาง  ได้แก่   หัวหน้าฝ่ายต่าง  ๆ   ผู้ช่วยผู้จัดการ ,  กรรมการบริหาร  ฯลฯ     ผู้บริหารระดับต้น   อาทิ  หัวหน้างาน  ,  วิศวกรโครงการ   หัวหน้าโครงการ  ฯลฯ   ผู้ปฏิบัติงาน   อาทิ      ธุรการ ,  การเงินฯ  วิศวกร  สถาปนิก  ฯลฯ   กลุ่มผู้ใช้แรงงานอื่น ๆ  อาทิ   ภารโรง  ,  คนงาน  ฯลฯ  และประชาชนที่อาจเกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะ
         การปฏิบัติงานขององค์กรโดยทั่วไปจะเป็นไปโดยการแบ่งแยกหน้าที่มีการงานแต่ละแผนก ฝ่าย  กอง  หรือ  หน่วยงานตามคำสั่งมอบหมายหน้าที่การงาน  หรือแผนภูมิรูปแบบการจัดองค์กรของแต่ละหน่วยงาน  ซึ่งมีแยกต่างกันทั้งราชการหรือเอกชน   การปฏิบัติงานเชิงคำสั่งหรือแผนภูมิเหล่านั้นเป็นลักษณะของการสั่งการ   จะเป็นทั้งรูปแบบประสานจากเบื้องบนลงล่าง   หรือจากเบื้องล่างสู่บน    หรือในระดับเดียวกันได้เสมอ   พฤติกรรมการปฏิบัติลักษณะแนวสั่งการนี้เป็นเรื่องปกติ   โดยมีพื้นฐานจากหลักองค์กรที่ได้วางไว้   การพัฒนาหรือการประสบความล้มเหลวหรือการประสบความสำเร็จของงานในองค์กรเป็นสิ่งที่สามารถมองออกและมองได้   โดยการทำงานเชิงบุคคลเป็นสำคัญ   แนวเปลี่ยนผ่านซึ่งความสำเร็จใด ๆ  ที่เกิดขึ้นโดยการเสนอความคิด   และร่วมกระทำ   กระทำได้แต่ไม่สอดรับเท่าที่ควร    การจัดกระทำเพื่อองค์กรให้มีการพัฒนาและเร่งรัดจะต้องก่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม

 


 

 

องค์กรที่มีส่วนร่วมต่อกันของบุคคลหรือคนในองค์กรมีข้อโยงยึดถือความคิดเห็นในทิศทางของ

 

          1)   ลักษณะของปัญหาหรือความต้องการที่จะแก้ไขหรือตัดสินใจ  บนพื้นฐานของบุคคลที่รับรู้
          2)   การเรียนรู้ว่าสิ่งที่เป็นความต้องการเพื่อแก้ไขหรือข้อมูลของปัญหามีที่มาและอยู่ในทิศทางใด
          3)   การนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา  โดยเหตุและผลซึ่งเป็นการระดมจากความคิดบุคคล  เอกสาร   หรือข้อเสนอหรือข้อมูลต่าง ๆ  อย่างเป็นรูปธรรม
          4)   การประเมินผลลัพธ์ว่ามีความเป็นไปได้อย่างไรมีข้อจำกัดหรือมีความเสี่ยงอย่างไร  และ
          5)   การตัดสินใจของผู้บริหาร   การหาทางเลือกในการตัดสินใจ   เหตุผลของการตัดสินใจ  และผลลัพธ์ที่ได้
         ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องมาจากความคิดในบุคคลทุกระดับร่วมกันเสนอหรือให้ข้อมูลหรือวินิจฉัยเป็นมูลฐาน

แนวทางการสร้างและสนับสนุนการมีส่วนร่วม

                ในการบริหารงานขององค์กรใด ๆ นั้น มีรูปแบบอยู่หลายสถานะ สิ่งที่จะส่งผลต่อการเกิดบรรยากาศเพื่อทุกคนและยังไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายที่ต้องการนั้น   มีความจำเป็นในทิศทางของการสร้างและสนับสนุน คือ
                 การพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ     ซึ่งเป็นการที่บุคคลในฐานะต่าง ๆ  ต้องก่อความรู้สึกและสร้างแรงกระตุ้นต่อบุคคลอื่น ๆ   ให้มีความคิดริเริ่ม   สร้างสรรค์    บนพื้นฐานแห่งความที่บุคคลมีความมั่นใจว่าเหตุและผลทางความคิดจะได้รับการสนับสนุน
                การริเริ่มลักษณะแห่งพฤติกรรมบุคคล    เป็นข้อคิดแห่งการสร้างรูปลักษณ์ของการแสดงออกของบุคคล    ลดและขจัดปมความคิดแย้งหรือความขลาดกลัวจากพฤติกรรมบุคคลให้ลดน้อย   สร้างความกล้าต่อการแสดงออก
                การเปิดโอกาสเพื่อการแลกเปลี่ยน    ย่อมเป็นผลดีต่อกลุ่มและบุคคลได้ในระดับกระทำ  เพราะโอกาสเพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใด ๆ  หรือประสบการณ์มักถูกปิดกั้นด้วยคำสั่งหรือความคิดเบื้องบน การเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนย่อมส่งผลต่อเหตุและผลในการพัฒนาความคิดต่าง ๆ  ได้
                การสนับสนุนแนวความคิดที่สามารถเป็นแบบอย่างได้ ซึ่งการสนับสนุนแนวคิดเหล่านั้นสามารถดำเนินการในทิศทางของงบประมาณหรืออื่นใดเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลแห่งการสร้างสถานะบุคคลให้ไว้วางใจองค์กรให้ความร่วมมือต่อองค์กรได้มาก
                สถานการณ์เพื่อการบริหารหรือจัดการ  ผู้บริหารต้องคำนึงถึงสถานการณ์ในการจัดการงานด้วยเสมอ  เพื่อผลสูงสุด   การเลือกแบบการบริหารใด ๆ  ย่อมส่งผลต่อการมีส่วนร่วมได้  ปัจจุบันการบริหารส่วนใหญ่  มุ่งแบบการมีส่วนร่วมเพราะเป็นการเปิดโอกาสแห่งบรรยากาศการริเริ่มสร้างสรรค์
                การมองหาความคิดเฉพาะในส่วนที่ดี   เป็นมุมมองของการบริหารที่ต้องการผลสัมฤทธิ์ว่าเมื่อบุคคลใดเสนอแนวคิดเพื่องานแล้วควรได้เห็นความเหมาะสมและทิศทางการเสนอของบุคคลอื่น ๆ ด้วยดี  มิใช่มุ่งแนวทางเพื่อความขัดแย้งหรือสร้างฐานการไม่ยอมรับให้เกิดขึ้น
                จูงใจให้เกิดการสร้างกระบวนการความคิดให้เกิดในทุกกลุ่มงาน  การสร้างแรงจูงใจย่อมเป็นผลต่อบุคคลที่ก้าวมาสู่การต้องการมีส่วนร่วมเสมอหากผลตอบแทนเหล่านี้มีคุณค่าและประโยชน์ต่อตน   ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับปฏิกิริยาของบุคคลโดยรวมขององค์กรด้วยว่าจะทำให้ได้เพียงใด

                ขั้นของความสำเร็จที่ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมและบุคคลยอมรับ   อาจได้แก่

           -   การเรียนรู้ในกิจกรรมของตนหรือหน้าที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง  เป็นผลต่อความรู้สึกในการอยากรู้   อยากเข้าใจ   และอยากเข้าไปมีส่วนร่วม   (เป็นการทำการบ้านเพื่อตนเอง)
           -   สไตล์การทำงานของแต่ละบุคคล  เป็นโอกาสของการเลือกเพื่อให้ตนเองก้าวต่อไปหรือได้รับการสนับสนุน
           -   ความมีอารมณ์ที่มั่นคง
           -   การยอมรับจุดอ่อนของตนเอง  หรือความบกพร่องต่าง ๆ  ของตนเอง
           -   รู้ตนเอง   (จุดแข็งที่มีอยู่หรือศักยภาพของตนเอง)
           -   มีความคิดเห็นในเชิงทะเยอทะยาน  โดยเป้าหมายเป็นจุดน่าทดลองเสี่ยงเพื่อความสำเร็จในงานของตนเอง
           -   สร้างข่ายงานได้   โดยมีการพึ่งพาต่อกัน   ทั้งเพื่อน ,  ผู้บังคับบัญชา   หรือผู้ใต้บังคับบัญชา  
           -   เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่มว่ามีขั้นตอนอย่างไร
           -   เรียนรู้ที่จะเงียบ   และ
           -   ถือสัตย์   เป็นแบบแผนการทำงาน
         คุณสมบัติของบุคคลเพื่อการมีส่วนร่วม
1. หาแนวคิดและวิธีการในการทำสิ่งต่าง ๆ  ให้ดีขึ้นเสมอตลอดเวลา
2. แสดงความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ  ขึ้นมาเอง
3. รู้จักใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
4. วางแผนไว้ล่วงหน้าโดยมีระยะเวลา
5. มีทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำ
6. เป็นสมาชิกที่ดีและเป็นผู้นำที่ดีด้วย
7. สร้างแรงกระตุ้นต่อตนเองและรู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจ
8. รู้งานทุกส่วนและหน้าที่อย่างดี
9. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
10. สำนึกถึงการสูญเปล่าและรู้ต้นทุน
11. แสวงหาแรงจูงใจที่ไม่มีเงินเกี่ยวข้อง
12. ปรับและรับฟังความคิดเห็นได้ในทุกระดับ
13. สนใจงานที่ทำแทนการพยายามหางานทำที่สนใจ
14. มีความสม่ำเสมอ
15. เชื่อว่าการทำงานเป็นผลให้ฉลาดและไม่เป็นเรื่องหนักงาน
16. ไม่บ่น
17. ทำงานได้ดีกว่ามาตรฐาน
18. นิสัยในการทำงานที่ดี
19. เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เร็วและทันสมัย
20. มีประวัติดีและก่อผลงานสม่ำเสมอ


                ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมของบุคคลในองค์กร
  สิ่งที่มีผลต่อการก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมที่สำคัญที่สุด  คือ   แรงจูงใจ   และภาวะของบุคคล   (ผู้นำ)  

                แรงจูงใจ  คือ สิ่งที่เป็นตัวกระตุ้น  เพื่อก่อให้เกิดการกระทำของพลังในบุคคลส่งผลต่อการแสดง
ซึ่งพฤติกรรมและวิธีการในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายหลักที่ต้องการ  เพราะแรงจูงใจมีผลต่อกระบวนการทำงานของคนในทิศทางแห่งประสิทธิภาพและสัมฤทธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ
                ลักษณะของแรงจูงใจจะแสดงออกได้โดยลักษณะพฤติกรรมซึ่งมีหลายทิศทางขึ้นอยู่กับบุคคล  และ  ขึ้นกับธรรมชาติแห่งความต้องการของบุคคลด้วย   ทั้งนี้  มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาโดยเป็นไปตามความปรารถนา  ความคาดหวัง   และจุดมุ่งหมายต่าง ๆ  ของตนเอง
                ความสำคัญของแรงจูงใจต่อกระบวนการมีส่วนร่วม   มีคำกล่าวว่า   “ผู้บริหารที่ดี  คือ   ผู้ที่สามารถทำงานให้สำเร็จได้โดยผู้ร่วมงาน”   หมายถึง   การที่องค์กรหรือผู้บริหารขององค์กรต้องให้ความสำคัญ   และนำมาใช้ในกิจการต่าง ๆ  ของงาน  เพื่อส่งผลให้
               1)   การร่วมมือร่วมใจเพื่องาน
               2)   ความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์กร
               3)   เกื้อหนุนให้เกิดระเบียบ  ข้อบังคับ   เพื่อผลในการกำกับควบคุมคนในองค์กร
               4)   การเกิดความสามัคคีในองค์กรหรือกลุ่ม
               5)   เข้าใจต่อนโยบายและวัตถุประสงค์ร่วมกันของบุคคลในองค์กร
               6)   สร้างความคิดใหม่เพื่อองค์กร
               7)   มีศรัทธาความเชื่อมั่นต่อตนเองและกลุ่ม
  ภาวะผู้นำ   มีผลต่อการมีส่วนร่วมขององค์กรหรือบุคคลในองค์กร  ในทิศทางของกระบวนการตัดสินใจ  เพราะการมีแรงจูงใจให้ปฏิบัติหรือการมีส่วนร่วมให้ปฏิบัติใด ๆ  หากกระบวนการตัดสินใจไม่เป็นผลแล้ว   ยังส่งผลต่อการที่ไม่บรรลุความสำเร็จได้   การตัดสินใจในระดับผู้นำขึ้นอยู่กับ
               -   ความเชี่ยวชาญ   คือการย่อมรับและให้ความร่วมมือ
               -   ความดึงดูดใจ   คือเหตุผลทางอารมณ์และอิทธิพลซึ่งเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัว

 


ปัญหาและข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม  

          สิ่งที่ไม่เป็นผลต่อความสำเร็จของการบริหารงานการมีส่วนร่วม  คือ
          1)   ลักษณะการสื่อสารในองค์การและระหว่างบุคคลไม่เหมาะสม
          2)   พฤติกรรมหรือแรงจูงใจต่อบุคคลไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม
          3)   ผู้นำมีปัญหา

 

               ลักษณะการสื่อสารในองค์การและระหว่างบุคคลไม่เหมาะสม     ลักษณะทั่วไปของสื่อที่ไม่เหมาะสมจะเกิดจาก
               1)    การมีข้อมูลหรือการมีคำสั่งที่ถ่ายทอดไม่ชัดเจน   เป็นผลให้ผู้รับฟังข้อมูลหรือได้รับคำสั่ง   ขาดความเข้าใจ   หรือไม่เข้าใจทำให้นำไปสู่การปฏิบัติได้ไม่ดี
               2)    การรับข่าวสารหรือข้อมูลเอกสาร   ต้องมีการตีความ  ทำให้การปฏิบัติเป็นข้อโต้แย้งหรือถกเถียง  ผลของการโต้แย้งหรือถกเถียง  ไม่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจได้ดีทำให้ความร่วมมือลดลงหรือขาดหายไป
               3)    มีผู้ก่อกวน อาจเป็นตัวเอกสารที่มีการสั่งการขัดกันเองหรือมีผู้ปฏิบัติที่มีปฏิกริยาขัดแย้งชี้นำการปฏิบัติ   ผลคือการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ  ลดบทบาทความร่วมมือไป
               4)    ทิศทางการสื่อสารของบุคคลในองค์กร  ซึ่งจะมีการสื่อต่อกันได้ทั้งในแนวบนลงล่าง  จากล่างขึ้นบนหรือในแนวระดับเดียวกัน   การสื่อสารแต่ละแนวย่อมส่งผลต่อการสั่งการ  การตัดสินใจ หากกลุ่มบุคคลของแต่ละแนวมีแนวคิดแตกต่างกัน

                พฤติกรรมหรือแรงจูงใจต่อบุคคลไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม เหตุที่พฤติกรรมหรือแรงจูงใจต่อบุคคล  ไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม   จะเกิดจากการที่
                1)    การใช้ทฤษฎีแรงจูงใจในการจัดกระทำไม่ถูกต้อง  อาทิ การนำเอาความพอใจเป็นหลัก   หรือการนำเอาความต้องการของมนุษย์เป็นหลักมาใช้ในกรอบแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ   ซึ่งอาจ  ส่งผลต่อการโต้แย้งหรือไม่พอใจเกิดขึ้นทำให้การอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรม นั้นๆ ถดถอยลง
                2)    พฤติกรรมของบุคคลมีอคติต่อองค์กร   ย่อมส่งผลต่อการมีส่วนร่วม   เพราะถ้าบุคคลเห็นว่าองค์กรหรือบ้านของตนเองที่อยู่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมแล้วการกระทำใด ๆ  ย่อมขัดแย้งและไม่เอื้อประโยชน์ได้   แต่หากการแก้ไขบทบาทของบุคคลให้มีทัศนคติดี  มีความกระตือรือร้น  มีสมาธิ   มีความรับผิดชอบหรือมีพลังเพื่องาน   กิจกรรมใด  ๆ  ที่เขาเหล่านั้นมุ่งจัดการย่อมเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อการกระทำโดยส่วนร่วมได้ง่าย
                3)    การมีส่วนร่วมของทุกคนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ไม่มีความขัดแย้งหรือมีความ   ขัดแย้งแต่พร้อมต่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลง  รับผลของการให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำย่อมเป็นทิศทางของการอยากมีส่วนร่วม

                ผู้นำมีปัญหา   เหตุที่กล่าวถึงกรณีการไม่สามารถบริหารงานได้อย่างดีในการมีส่วนร่วมมีผลมาจากผู้นำในระยะเริ่มต้น  อาทิ
               1)    คนทุกคนมีจุดมุ่งหมายในชีวิตเพื่อความต้องการในปัจจุบันและอนาคตในกรณีต่าง ๆ  อาทิ    มีความเป็นอยู่บนชีวิตที่ดี  (กินดีอยู่ดี)  , มีความมั่นคง  ปลอดภัยในตนเองและครอบครัว     มีความรัก   มีหน้ามีตาในสังคม , มีการยอมรับยกย่องนับถือ  และมีความสำเร็จในชีวิต  เมื่ออยู่ในองค์กรแต่ประสบปัญหากดดันและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำกลุ่มหรือองค์กรย่อม  เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบและเป็นความขัดแย้ง
               2)    การขาดแรงจูงใจในการนำไปสู่ความสำเร็จของงาน  เหตุด้วย  ผู้นำขาดภาวะการเรียนรู้   ไม่มีความชำนาญ   ไม่มีความเชื่อมั่นตนเอง   หรือมีโรคภัยเบียดเบียน  ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้เป็นผลทางจิตใจต่อการมีส่วนร่วมและสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
               3)    ผู้นำขาดมนุษยสัมพันธ์    ความรับผิดชอบ    หย่อนคุณธรรม   และทักษะการเรียนรู้จากงาน  เป็นผลให้ไม่สามารถเข้ากับบุคคลได้อย่างดี   ทำให้การนำเสนอความต้องการหรือการตัดสินใจเพื่อกลุ่มหรือส่วนร่วมเป็นไปได้โดยยากหรือไม่เหมาะสม

                การบริหารงานการมีส่วนร่วม  เป็น  การบริหารที่ทุกคนในองค์กรหรือต่างองค์กรได้มีโอกาสจัดกระทำการงานตามเป้าหมาย  หรือวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิตามประสงค์ที่ต้องการ ผู้นำในการบริหารแบบมีส่วนร่วมจึงต้องเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพดี  มีทักษะในงานและความฉลาด  มีความสามารถในงานและการตัดสินใจ   มีมนุษยสัมพันธ์และคุณธรรมในการปฏิบัติงาน   และมีความสามารถในบทบาทของตนเองอย่างดี   กระบวนการบริหารจึงจะบรรลุเป้าหมายขององค์กรที่ต้องการได้ด้วยดี 

การมีส่วนร่วมของประชาชนกับการบริหารราชการ

 

                นิยามของการมีส่วนรวมของประชาชน  ระบบราชการมุ่งประสงค์ให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ  ทั้งทางตรงและทางอ้อมในการดำเนินงานทางการบริหาร  หรือการดำเนินกิจการของรัฐ    เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของตนเอง   (ประชาชน)   การมีส่วนร่วมทางตรง  จะเห็นได้จากการที่ประชาชนสามารถตัดสินใจทางเลือกเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะหรือเข้าร่วมในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์  ของรัฐในแต่ละสาขา   หรือการลงประชามติในเรื่องต่าง ๆ  หรือการเข้าร่วมเป็นกรรมการในการดำเนินงาน อาทิ  การจัดซื้อจัดจ้าง   การตรวจรับการจ้าง   หรือการกำหนดราคาการจ้างต่าง ๆ  ได้  สำหรับการมี   ส่วนร่วมทางอ้อม ก็คือการที่ประชาชนสามารถเสนอความคิดความเห็นผ่านเครือข่ายหรือกลุ่มตัวแทนต่าง ๆ  และทั้งการให้ข้อมูลข่าวสาร   เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชการผ่านสื่อใด ๆ  อาทิ   วิทยุ  ,  โทรศัพท์  ,  เว็บไซต์  หรือจดหมายข่าว

 


              การบริหารราชการเชิงการพัฒนาที่มุ่งให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม  สามารถพิจารณาได้ในแนวทางดังนี้

 

              1)   มีการเปิดเผยข้อมูลและโปร่งใสในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานโดยมีช่องทาง   เพื่อการให้ข้อมูลข่าวสารที่กว้างขวางต่อประชาชนและเข้าถึงได้โดยสะดวก
              2)   มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับภารกิจของหน่วยงานอย่างสม่ำเสมอ  ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ  เปิดช่องทางเพื่อการนี้อย่างจริงจัง
              3)   มีระบบการจัดการข้อมูลข่าวสารที่ได้จากประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบการ  ปรับปรุงแก้ไขระบบการบริหารงาน , การให้บริการ  และการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะ  หรือนโยบายอื่น ๆ   เพื่อตอบสนองความต้องการหรือประโยชน์ของประชาชนอย่างชัดเจน  โดยมีผู้รับผิดชอบและรายงานผลการดำเนินการเชิงสรุปเสนอที่เป็นรูปธรรมต่อเนื่อง
             4)   เปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคม  (เอกชน ,  ประชาชน  และเครือข่ายต่าง ๆ)  ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาในกิจกรรมกระบวนงานของหน่วยงานสำหรับการกำหนดทิศทางแห่งนโยบาย   และกิจกรรมสาธารณะ  ที่กระทบต่อประชาชนหรือตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
             5)   ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในส่วนราชการ    โดยสามารถเข้าถึงในการจัดกระบวนการหรือกลไกต่าง ๆ  ได้อย่างเป็นรูปธรรม   และร่วมในการตรวจสอบความก้าวหน้าของการดำเนินงาน   หรือผลสำเร็จของการทำงานของหน่วยงานราชการได้

              กรมโยธาธิการและผังเมืองกับเป้าหมายการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในภาพรวมของภารกิจหลัก ๆ
จะเห็นได้ว่ายุทธศาสตร์สำคัญที่กรมได้กำหนดไว้  คือ  การเสริมสร้างการพัฒนาเมืองและการพัฒนา ความปลอดภัยในอาคาร     การจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดิน   การเสริมสร้างการพัฒนาเมืองและชุมชน
และการพัฒนาระบบการบริหารงานให้มีความเป็นเลิศ   ซึ่ง ทั้ง  4  ประเด็นเป็นเรื่องที่กำหนดไว้และส่งผลต่อประชาชนแทบทั้งสิ้น   การดำเนินงานในกิจกรรมหรือเป้าหมายต่าง ๆ  เพื่อสนองตอบตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้   สามารถเห็นภาพของการให้โอกาสหรือยอมรับว่ามีประชาชนหรือภาคประชาสังคม  เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานในกิจกรรมหรือขั้นตอนต่าง ๆ  ยังไม่ขยายวงกว้างให้สอดคล้องต่อหลักการการบริหารเชิงการพัฒนา   อาทิ  การวางผังเมือง   การควบคุมอาคาร   และการจัดรูปที่ดิน   ซึ่งเป็นภารกิจที่มีกฎหมายรองรับและต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ   ที่ได้กำหนดไว้และในหลาย ๆ  ขั้นตอนซึ่งกำหนดโดยแนวปฏิบัติตามกฎหมาย   ประชาชนหรือองค์กรเอกชน   หรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถมาร่วมในการพิจารณา ,  นำเสนอ  และให้ข้อมูลต่าง ๆ  ได้อย่างกว้างขวาง   ถึงแม้ว่าการพิจารณา   การนำเสนอหรือการให้  ข้อมูลเหล่านั้นอาจเป็นเพียงส่วนน้อยที่ถูกนำไปสู่การได้รับการตัดสินใจ   เพื่อการปรับปรุง   แก้ไข  หรือ  เปลี่ยนแปลงแห่งเหตุสาระของการงานที่เกิดขึ้นในกระบวนงาน   แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจุดผ่านแห่งการพัฒนา  เพื่อความสำเร็จของงานในอนาคตต่อไปอย่างดี

                ความสำเร็จของการมีส่วนรวมภาคประชาชนในฐานะองค์กรของรัฐจะต้องเร่งรัดและปรับปรุง  การจัดการบริหารเพื่อก่อผลแห่งการพัฒนา  กล่าวคือ

 

                **    องค์กรต้องมีคณะทำงานเพื่อการนี้อย่างเป็นรูปธรรมและประสานการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและวิเคราะห์สถานภาพแห่งภารกิจ   ประกอบยุทธศาสตร์การบริหารและงบประมาณอย่างจริงจัง   เพื่อกำหนดกระบวนงานที่เหมาะสมสำหรับการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคมที่ดี

 

                **    ช่องทางของการเข้าถึง   ซึ่งข้อมูลและข่าวสารใด ๆ  ต้องปรากฏอย่างชัดเจนและมีหลายช่องทางที่จัดกระทำได้   และต้องมีการประชาสัมพันธ์ทิศทางการเข้าหาหรือเข้าถึงอย่างเป็นรูปธรรมโดยต่อเนื่องพร้อมทั้งแสดงผลจากการมีส่วนร่วมด้วยความน่าเชื่อถือ  เชิงผลแห่งการกระทำจริง  และสร้างศรัทธาความเชื่อมั่น

 


‏               **     องค์กรต้องเปิดโอกาสเพื่อการเข้ามาเป็นส่วนร่วมในคณะทำงานหรือคณะกรรมการหรือกลุ่มใด ๆ  อย่างกว้างขวางทั้งภาคเอกชน ,  ประชาชน   หรือผู้มีส่วนได้เสียตามภารกิจนั้น ๆ  ทั้งนี้จะเป็นการเข้ามาทั้งทางตรง   และทางอ้อมก็ได้   โดยปราศจากการปิดกั้น

 

               **     องค์กรต้องฟังความเห็น , ข้อเสนอ  ,  ข้อมูล  หรือแนวทางการตัดสินใจของประชาชน  หรือ  แนวปฏิบัติให้มากที่สุดทั้งนี้ต้องจัดกระทำโดยปราศจากอคติหรือบนเงื่อนไขแห่งความขัดแย้ง  อันรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง   พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชน   หรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถชี้แจง   หรือประกอบเหตุผลต่าง ๆ  ได้อย่างกว้างขวางในเวทีที่สามารถกำหนดได้

 

               **    องค์กรต้องรวบรวมผลแห่งความมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ  พร้อมบทสรุปทั้งความสำเร็จ   และความขัด
คำสำคัญ (Tags): #บริหาร 5
หมายเลขบันทึก: 446029เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2011 18:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท