เรื่องสั้น : คือความฝัน.....นิรันดร (1)


ผมไม่รู้ว่ากาลเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เพราะมัวแต่มีความสุขกับการที่ได้นั่งใกล้ชิดอยู่กับคนที่ตนเองรักและซื่อสัตย์ต่อเธอเสมอมา ไม่ว่ากาลเวลาหรือโมงยามมันจะผ่านไปนานสักกี่ปีกี่ชาติแล้วก็ตาม

 

 

 

 

            

             เช้าวันนี้ผมตื่นนอนเช้าเป็นพิเศษ หลังจากที่อาบน้ำอาบท่า และกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดแจงสัมภาระต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วยเป้สะพายหลัง มีดเดินป่า อาหารแห้ง หมวกแก๊ป น้ำดื่ม สมุดและปากกาสำหรับบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นหรือรู้สึกประทับใจในระหว่างการเดินทาง

            หลังจากที่เตรียมข้าวของต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประมาณ  9 โมงเช้า ผมก็ออกจากบ้านพักในรีสอร์ทกลางหุบเขา เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ โดยการเดินทางในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางที่ไร้จุดหมายปลายทาง ไม่ได้กำหนดแน่นอนว่าจะต้องไปที่ไหนบ้าง ขึ้นอยู่ที่ว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าและสภาพแวดล้อมต่างๆ จะเป็นผู้นำไป จนกว่าจะถึงตอนเย็นๆ ถึงจะเดินกลับมายังบ้านพักอย่างเดิม

            ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ อย่างสบายอกสบายใจ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ซึ่งนานแล้วที่ผมไม่เคยได้มีโอกาสออกมาสูดอากาศอันบริสุทธิ์เช่นนี้ เพราะมัวแต่ดิ้นรนต่อสู้กับการใช้ชีวิตและการทำงานในเมืองกรุงซึ่งมีแต่ความวุ่นวายสับสนและยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยปัญหาเสียนมนาน

            ผมเดินมาไกลและนานเท่าใดก็ไม่รู้ได้ มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ตัวเองกำลังเดินอยู่บนถนนสายเล็กๆ สายหนึ่ง ที่สองฝั่งทางเต็มไปด้วยต้นไม้ชนิดต่างๆ ละลานตาเต็มไปหมด เห็นแล้วทำให้เกิดความเย็นกายเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก

            ท้องฟ้าวันนี้ดูสดใสไร้เมฆหมอก พระอาทิตย์ส่องสว่างโชติช่วงอยู่บนฟากฟ้า หมู่วิหคนกกากำลังบินเล่นอย่างร่าเริงเบิกบาน  มองไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ในขณะที่ลำธารข้างทางเดิน ก็มีน้ำใสไหลเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา

            “สวัสดีจ๊ะ พ่อหนุ่ม”    

เสียงของหญิงชราในชุดสีขาวคนหนึ่งที่เดินสวนทางมากล่าวทักทายผม ในขณะที่ผมกำลังเดินชมบรรยากาศข้างทางอย่างเพลิดเพลินสบายใจ  ทำให้ผมสะดุ้งตัวขึ้น และยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

            “สวัสดีเช่นกันครับคุณป้า คุณป้ากำลังจะไปไหนเหรอครับ?”  

ผมกล่าวทักทายและถามคุณป้า เพราะเห็นคุณป้าคนนั้นกำลังถือเครื่องสังฆทาน ดอกไม้ธูปเทียน   และปินโตสำหรับใส่อาหารอยู่ในมือ

            “อ๋อ! ป้าจะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดนะพ่อหนุ่ม เพราะวันนี้เป็นวันพระจ๊ะ ไปทำบุญที่วัดด้วยกันไหม พ่อหนุ่ม “    คุณป้าคนนั้นตอบและเชิญชวนผม

            “ขอบคุณครับ ที่คุณป้าชวนผม แต่ผมเห็นจะต้องขอตัวละครับ ผมไปไม่ได้หรอกครับ เพราะตอนนี้ใจผมยังไม่พร้อมที่จะเข้าวัด แต่อยากจะเดินทางแสวงหาความสงบเพียงคนเดียวตามป่าเขามากกว่า”              ผมตอบปฏิเสธในความหวังดีของคุณป้าไป

            “ ก็ไม่เป็นไรหรอกน่ะ พ่อหนุ่ม ขอให้โชคดีในการเดินทางก็แล้วกัน ป้าไปก่อนละ เดี๋ยวจะไม่ทันถวายภัตตาหารเพลพระ”

            “ครับผม ขอให้คุณป้าโชคดีเช่นกันนะครับ”     ผมพูดในขณะที่คุณป้ากำลังเดินจากไป

            นานแล้วที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดอีกเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าที่ควร อย่างมากก็แค่ร่วมทำบุญด้วยการเอาเงินใส่ซองผ้าป่าฝากเพื่อนไปทำบุญเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ในใจนั้นเคยตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าหากมีโอกาสก็จะไปนั่งสนทนาธรรมกับพระ เผื่อจะได้นำเอาหลักธรรมต่างๆ กลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปสักที

            แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปวัดเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนห่างวัดแต่อย่างใดไม่ เพราะในห้องนอนและห้องทำงานของผมนั้น มีหนังสือธรรมะอยู่เป็นร้อยๆ เล่ม ซึ่งผมหยิบมาอ่านเป็นประจำเวลาที่ตนเองมีเวลาว่าง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต) ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านปัญญานันทะ และพระพยอม กัลยาโณ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีหนังสือธรรมะภาคภาษาอังกฤษอีกหลายเล่มด้วยกัน ที่ผมเก็บสะสมไว้เพื่ออ่านและศึกษา จนผมรู้สึกว่า แท้ที่จริงนั้นธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ไม่ได้อยู่ที่คัมภีร์หรืออยู่ที่วัดวาอารามแต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ตัวของเรานี่เอง

            ตลอดเส้นทางที่ผมกำลังเดินผ่านไป มีคนใส่ชุดสีขาวจำนวนมากเดินมุ่งหน้าเพื่อไปทำบุญที่วัด ผมเห็นแล้วก็รู้สึกมีความเย็นกายเย็นใจและพลอยอนุโมทนาบุญไปด้วย

            เวลาเที่ยงตรง ผมเดินไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีบรรยากาศสวยงามคล้ายดั่งสรวงสวรรค์ ในบริเวณนั้นเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่  มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เป็นแห่งๆ  กวางฝูงหนึ่งกำลังแทะเล็มหญ้าอยู่ นกยูงกำลังรำแพน นกหัวขวานกำลังเจาะต้นไม้หาเหยื่อ  และนกนางแอ่นกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างมีความสุข  ใกล้ๆ บริเวณนั้น มีทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในขณะที่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบนั้น เป็นภูเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอันงดงาม น้ำในทะเลสาบแห่งนั้นมีความใสจนมองเห็นฝูงปลาแวกว่ายไปมาอย่างชัดเจนจนเหมือนกับว่าพวกมันกำลังพากันว่ายอยู่ในตู้ปลาที่ทำด้วยกระจกใสตามห้างทั่วไป  ปลาน้อยใหญ่ที่อยู่ในทะเลสาปแห่งนั้น ต่างพากันแหวกว่ายไปมาอย่างมีความสุข  ในขณะที่บนผิวน้ำ หงส์ขาวฝูงใหญ่ก็กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

            ผมเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจขึ้นมา คิดไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่  รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจเหลือเกินที่ตนเองมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันเอาไว้มานานแล้ว

            ผมเดินเลาะริมฝั่งทะเลสาบไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดของบริเวณนั้น ซึ่งมีม้านั่งยาวสีขาวตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้วย  ผมเลยเดินเข้าไปนั่งพักบนม้านั่งตัวนั้น พร้อมกับหยิบเอาสมุดบันทึกกับปากกาออกมาเขียนความประทับใจต่างๆ ลงไป และลงมือถ่ายรูปทิวทัศน์อันงดงามทั้งหมดเก็บเอาไว้  เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ผมก็กลับมานั่งพักผ่อนที่ม้านั่งตัวเดิม เพื่อที่จะได้เก็บความประทับใจทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ในความทรงจำอย่างเต็มที่

            ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการชมทิวทัศน์อยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนพูดและหยอกล้อกันเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ริมทะเลสาบทางขวามือที่ผมนั่งอยู่ เมื่อผมหันไปมองที่มาของเสียง ผมก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์กำลังจูงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนที่อยู่ในชุดสีขาวเช่นกัน ทั้งสามคนกำลังเดินมาตรงจุดที่ผมนั่งอยู่

            ผมรู้สึกคุ้นๆ ว่าหญิงสาวที่แสนสวยคนนี้ผมเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า เพราะคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกินว่าอาจจะเป็นคนที่ผมรู้จักมาก่อน

            หัวใจของผมเริ่มที่จะตื่นเต้นขึ้นมาอย่างผิดปกติ และรู้สึกใจคอสั่นไปหมด เพราะว่าเมื่อมองไปที่ด้านหลังของหญิงสาวและเด็กน้อยทั้งสองคนนั้น ที่เบื้องหลังของเธอกลับมีอะไรอย่างหนึ่งสีขาวๆ และนุ่มๆ คล้ายดั่งขนนกค่อยๆ โผล่ออกมา ผมเลยเอามือขยี้ตาตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปที่มองเห็นอย่างนั้น ซึ่งไม่ว่าจะขยี้ตาสักกี่ครั้งกี่หน ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ยังเหมือนเดิม คือทุกคนมีปีกสีขาวอยู่ด้านหลัง และเมื่อพวกเธอเดินเข้ามาใกล้ผมประมาณสิบเมตร ผมก็ตื่นเต้นอย่างสุดขีดและรีบลุกขึ้นจากม้านั่งตัวนั้นอย่างลืมตัว

            “ศะ… ศะ… ศริญญา!         นี่คุณมาที่นี่ได้อย่างไรเนี่ย  ผมรู้สึกงงไปหมดแล้ว  ประ… ประ… โปรดบอกผมด้วยว่าคนที่ผมเห็นอยู่นี้คือคุณ ศริญญา!”      

            ผมกล่าวกับเธอด้วยอาการสั่นและลังเลสงสัย ในขณะที่เธอกลับมีท่าทีเฉยๆ และยิ้มอย่างงดงามอยู่ตลอดเวลา

            “สวัสดีค่ะ พี่เอก นี่บีเองนะค่ะ คนที่พี่เอกเห็นคือบีจริงๆ  พี่เอกไม่ได้ตาฝาดไปหรอกค่ะ วันนี้บีมารอรับพี่เอกนะค่ะ เพราะบีรู้ว่าพี่เอกจะมาที่นี่ บีก็เลยพาหลานๆ มาคอยต้อนรับและเดินเล่นด้วยกัน พี่เอกไม่สบายหรือเปล่าค่ะ ทำไมถึงหน้าซีดและสั่นเหมือนเจ้าเข้าอย่างนั้นละค่ะ” 

            เธอพูดพร้อมกับที่มองผมด้วยความห่วงใย โดยมีเด็กหญิงสองคนยืนถือแขนเธอคนละข้าง

            “ ผม.... ผม ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ เพียงแต่รู้สึกตื่นเต้นมากไปหน่อยเท่านั้นเอง ตื่นเต้นจนแทบจะหัวใจวายเอาเลยทีเดียว เพราะไม่นึกว่าจะได้เจอคุณที่นี่และในสภาพเช่นนี้……คุณสบายดีหรือเปล่าศริญญา นานหลายปีแล้วซิน่ะ ที่เราไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย เชิญนั่งก่อนซิครับ”      ผมพูดทักทายเธอและเชิญเธอให้นั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน

            “บีสบายดีค่ะพี่เอก  ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอกค่ะ  นี่หลานของบีเองค่ะ คนนี้ชื่อหนูนิด และคนนั้นชื่อหนูหน่อย อ้าว! หนูนิดหนูหน่อยมาทำความรู้จักกับพี่เอกหน่อยลูก”          เธอพูดและบอกให้เด็กทั้งสองคนเดินมาที่ผม

            “ชาหวัดดีเจ้าค่ะ พี่เอก หนูชื่อหนูนิดค่ะ”          หนูนิดยกมือไหว้ผมและเข้ามากอดแขนข้างขวาของผมไว้ ในขณะที่มือซ้ายของผมนั้นก็กอดเด็กหญิงอีกคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน

            “แล้วคนนี้ล่ะ ใช่หนูหน่อยหรือเปล่าครับ”        ผมถาม

            “ใช่ค่ะ หนูชื่อหนูหน่อยค่ะ  ดีใจจังเลยที่ได้เจอตัวจริงของพี่เอก หลังจากที่ได้ยินพี่บีเล่าเรื่องของพี่เอกให้ฟังตั้งหลายครั้ง จนหนูคิดอยากจะเห็นพี่เอกมากๆ เลย”   หนูหน่อยกล่าวด้วยเสียงเจี้อยแจ้ว โดยมีผมนั่งฟังอย่างตั้งใจและเอามือลูบปีกของเด็กทั้งสองคนเล่น

            ผมหันไปทางศริญญา และเห็นเธอกำลังยิ้มอยู่  เลยถามเธอไปว่า  “ศริญญา! ช่วยบอกผมด้วยเถอะว่าทำไมคุณถึงมีปีก รวมทั้งหนูนิดและหนูหน่อยด้วย ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ครับ?”

          “บีเป็นนางฟ้าค่ะพี่เอก หนูนิดกับหนูหน่อยก็เป็นนางฟ้าเช่นเดียวกัน และที่นี่ก็คือสรวงสวรรค์ค่ะ”   เธอตอบแบบยิ้มๆ

            “แล้วโลกสวรรค์กับโลกมนุษย์นี่อยู่ห่างไกลกันมากหรือเปล่าศริญญา  ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และผมจะกลับบ้านได้ยังไง?  ผมรู้สึกสับสนเหลือเกิน”          ผมถามเธอ ด้วยความรู้สึกงงไปหมด

            “ โลกมนุษย์กับสวรรค์ก็ไม่ได้อยู่ห่างกันหรอกค่ะ ห่างกันแค่ในความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นเอง เพราะสวรรค์ก็อยู่ในโลกมนุษย์นี่เอง แต่ซ้อนอยู่ในอีกมิติหนึ่งของความนึกคิดของมนุษย์ สวรรค์อยู่ในความคิดของมนุษย์นะค่ะ ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ในขณะที่นรกก็อยู่ในใจของมนุษย์อีกเช่นกัน หากแต่เป็นความรู้สึกนึกคิดในฝ่ายชั่ว ซึ่งจะมีสภาพที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์โดยสิ้นเชิง สวรรค์จะมีลักษณะเงียบสงบ ร่มรื่น  เย็น และเบิกบาน เหมือนที่พี่เอกกำลังเห็นอยู่ในขณะนี้แหละค่ะ ส่วนนรกนั้นก็จะตรงกันข้าม คือมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา……..พี่เอกมาที่นี่ได้ ก็เพราะว่าพี่เอกก็เป็นเทวดาเช่นกันค่ะ พี่เอกเป็นเทพบุตร ไม่เชื่อพี่เอกก็ ลองหันไปดูด้านหลังของพี่เอกซิค่ะ แล้วพี่เอกก็จะเห็นว่าพี่เอกก็มีปีกเช่นกัน”

            เธอพูดด้วยอาการยิ้มแย้มสดใส พอเธอพูดจบ ผมก็รีบหันมองด้านหลังของตัวเองทันที ทันใดนั้นผมก็ตื่นเต้นอย่างสุดขีด   เมื่อมองเห็นด้านหลังของตัวเองมีปีกจริงๆ ทั้งสองข้าง

           “โอ! พระเจ้า นิผมมีปีกจริงๆ หรือนี่ ผมเป็นเทพบุตรจริงๆ หรือเนี่ย เป็นไปได้ยังไงกัน ก็ผมยังไม่ตายเลยนิหน่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”     ผมอุทานขึ้นมาด้วยความมหัศจรรย์ใจ และถามด้วยความสงสัยอย่างสุดกำลัง

            “พี่เอกเป็นเทพบุตรจริงๆ ค่ะ เพราะพี่เอกเป็นคนดีและได้ทำความดีมามากมาย ในหลายๆ รูปแบบ เพียงแต่พี่เอกไม่รู้ตัวเท่านั้นเองค่ะ แต่สำหรับสวรรค์แล้ว ทุกคนต่างก็รับรู้ในคุณงามความดีที่พี่เอกได้สร้างสมไว้ทั้งหมด อีกอย่าง การที่คนเราจะได้พบหรืออยู่ในโลกสวรรค์นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องตายลงก่อนหรอกนะค่ะ หากแต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ทุกคนต่างก็สามารถที่จะพบเห็นสรวงสวรรค์ได้เช่นกัน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะว่าสวรรค์อยู่ที่ใจค่ะ”        เธอกล่าวอธิบาย

            “ผมแปลกใจเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

            “ไม่ว่าพี่เอกจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ นะค่ะ และพี่เอกก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกนะค่ะ รับรองว่าที่นี่จะเป็นดินแดนแห่งความฝันตามที่พี่เคยใฝ่ฝันเอาไว้และพี่เอกจะอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขตลอดเวลาค่ะ”             เธอพูดปลอบใจผม

            “ขอโทษนะครับ! ไม่ทราบว่าที่นี่มีเทพบุตรและนางฟ้าอยู่เยอะหรือเปล่าครับ แล้วพวกเขาไปไหนกันหมดครับ เพราะผมเห็นมีแค่คุณกับหนูนิดและหนูหน่อยเท่านั้นเอง”  ผมถาม

            “ที่นี่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของบีค่ะ ไม่มีใครเข้ามายุ่งหรอกค่ะ ถ้าหากว่าบีไม่เชิญเขาเข้ามา เพราะเราต่างก็มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง  ในสวรรค์ก็มีเทพบุตรเทพธิดาน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับในโลกมนุษย์หรือในโลกนรก และในจำนวนเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายที่มีอยู่นั้น เทพบุตรมีอยู่น้อยมากค่ะ ในขณะที่เทพธิดาหรือนางฟ้านั้นกลับมีมากกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว เชื่อไหมค่ะว่าเทพบุตรบางองค์นั้นมีนางฟ้าเป็นบริวารคอยรับใช้ถึงพันองค์เลยทีเดียว ตรงตามที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของทางพระพุทธศาสนาเลยค่ะ”          เธอกล่าว

            “ครับ ! เรื่องนี้ผมเองก็เคยอ่านเจอเหมือนกัน  ว่าแต่ว่าเทวดาทำไมถึงมีจำนวนน้อยละครับ?”

            “เพราะว่าคนในปัจจุบันพากันทำความดีน้อยลง คนที่จะได้มาอยู่ในสวรรค์ก็เลยน้อยลงเช่นเดียวกัน”           เธอพูด

            “เหตุใดคนจึงทำดีน้อยลง? เหตุใดคนจึงขึ้นสวรรค์น้อยลง?”   ผมถามด้วยความสงสัย

            “คนทำความดีน้อยลง เพราะคนมัวแต่ไปเอาใจใส่ต่อความเจริญทางด้านวัตถุ ไปยึดเอาวัตถุหรือเทคโนโลยีเป็นที่พึ่งทางใจมากเกินไป จนลืมที่จะเอาใจใส่ต่อจิตใจของตัวเอง เลยทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นมากมาย แทนที่จะพากันทำความดีทางกาย วาจา ใจ ก็กลับพากันทำความชั่วแทน ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้มีคนขึ้นมาอยู่ในโลกสวรรค์น้อยลง และอีกอย่าง ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะพากันทำความดีมากกว่าผู้ชายด้วยนะค่ะ สังเกตได้เวลาไปทำบุญที่วัด ในจำนวนร้อยคนนั้น จะมีผู้หญิงอยู่ถึงแปดสิบคน แต่มีผู้ชายเพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นเอง ในโลกสวรรค์ก็เลยมีเทพธิดามากกว่าเทพบุตรอย่างที่บีได้เล่าให้พี่เอกฟังไปแล้วเมื่อสักครู่”

 

เพลง  "มีแต่คิดถึง"

ร้องโดย  "พี่เบิร์ด"  ธงไชย   แม็คอินไตย

           

หมายเลขบันทึก: 444880เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2011 15:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท