การจัดการความรู้สำหรับงานรังสีร่วมรักษา
Knowledge
Manangement in Intervention Radiology world
เอนก สุวรรณบัณฑิต วท.บ., ศศ.ม., ปร.ด.(กำลังศึกษา)
ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
เอนก สุวรรณบัณฑิต. การจัดการความรู้สำหรับงานรังสีร่วมรักษา. วารสารชมรมรังสีเทคนิคและพยาบาลเฉพาะทางรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาไทย, 2553 ; 4(2) : 134-147
ปัจจุบันมนุษยโลกมีนโยบายร่วมกันอย่างพร้อมเพียง ไม่ได้ถูกบีบบังคับหรือชี้นำอย่างเผด็จการใดๆ ในการสร้างสังคมที่มุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยมีความเชื่อในอุดมคติ (ideology) อย่างหนึ่งถึงการพัฒนาสู่สังคมฐานความรู้ (Knowledge based society) ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจากแนวคิดที่ว่า “ความรู้คืออำนาจ : Knowledge is power” ซึ่งได้นำพาปัญหาต่างๆ มาอย่างมากมายในยุคอาณานิคมและอุตสาหกรรม การปรับเปรียนกระบวนทรรศน์ของมนุษย์ชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้นำไปสู่การพัฒนาสังคมในทุกๆ ด้าน และผลักดันในเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy – KBE) การดำเนินกิจกรรม และการงานต่างๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้มาสร้างผลผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อการยึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดบน (niche market) ที่สูงขึ้น การจัดการความรู้เป็นแนวคิดทางการจัดการที่รวมความหมายกว้างๆ ให้ครอบคลุมการจัดการขององค์การต่างๆ เทคนิค กลไกเชิงระบบมากมายเพื่อสนับสนุนให้การทำงานของแรงงานความรู้ (Knowledge Worker) มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กลไกดังกล่าวได้แก่ การรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ที่ต่างๆ มารวมไว้ที่เดียวกัน การสร้างบรรยากาศให้คนคิดค้น เรียนรู้ สร้างความรู้ใหม่ๆ ขึ้น เกิดนวัตกรรมใหม่ (innovation) การจัดระเบียบความรู้ในเอกสาร และทำระเบียนรวบรวมรายชื่อผู้มีความรู้ในด้านต่างๆ และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างช่องทาง และเงื่อนไขให้คนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน เพื่อนำไปใช้พัฒนางานของตนให้สัมฤทธิ์ผล
หากต้องนิยามการจัดการความรู้ ได้มีนักวิชาการจำนวนมากนิยามไว้ในหลายความหมาย แต่หากพิจารณาถึงประเด็นเนื้อหาที่สำคัญ อาจสรุปได้ว่า การจัดการความรู้เป็นแนวทางการจัดการที่ต้องการรวบรวม สร้าง จัดหมวดหมู่ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ โดยมีแนวคิดในการพัฒนา (คัดกรอง) ข้อมูลไปสู่สารสนเทศ เพื่อให้เกิด ความรู้ และยกระดับเป็นปัญญาในที่สุด
ด้วยความนิยมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1990 การจัดการความรู้ได้มีบทบาทอย่างมากทั้งในภาคเอกชนและภาคราชการ โดย องค์การขนาดใหญ่โดยส่วนมากจะมีการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการจัดการองค์ความรู้ โดยมักจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือแผนกการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สำหรับภาคราชการไทย ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อผลักดันแนวคิดธรรมาภิบาล (Good Governance) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมขึ้น ในมาตรา 11 กำหนดว่า
“ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน”
ดังนั้นจึงมีการประยุกต์ใช้การจัดการความรู้ในระดับต่างๆ อย่างไรก็ตามในทางวิชาการการจัดการความรู้ประกอบไปด้วยชุดของการปฏิบัติงาน (management set) ที่ถูกใช้โดยองค์กรต่างๆ เพื่อที่จะระบุ สร้าง แสดงและกระจายความรู้ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้และการเรียนรู้ภายในองค์กร อันนำไปสู่การจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการธุรกิจที่ดี
รูปแบบการจัดการองค์ความรู้โดยปกติจะถูกจัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรและประสงค์ที่จะได้ผลลัพธ์เฉพาะด้าน เช่น เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน หรือเพื่อเพิ่มระดับนวัตกรรมให้สูงขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับแหล่งความรู้
แหล่งความรู้ที่สำคัญได้แก่ ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเฉลียวฉลาด และปัญญา ซึ่งมีระดับและการกลั่นกรอง ตกผลึกไปสู่ชั้นความรู้ถัดไปด้วย กระบวนการต่างๆ กัน โดยมีแนวคิดหลักๆ ได้แก่
1. ข้อมูล (Data)
1)
ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล
2)
กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
2. สารสนเทศ (Information)
1)
ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว
2)
ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมาย
3. ความรู้ (Knowledge)
1) ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการจัดระบบความคิด เกิดเป็น “ความรู้และความเชี่ยวชาญ”
4. ความเฉลียวฉลาด (Wisdom)
1) การนำเอาความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานในสาขาวิชาต่าง ๆ เกิดภูมิปัญญาในด้านนั้นๆ
5. ปัญญา (Intelligence)
1) ผลจากการปรับแต่งและจดจำความเฉลียวฉลาดต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิด ความคิดที่ฉับไว และการเพิ่มความสามารถในการชี้นำสังคม
ภาพความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเฉลียวฉลาดและปัญญา
การเรียนรู้ในการทำงาน
การเรียนรู้ในการทำงานเป็นแนวคิดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งในชีวิตการเรียน และชีวิตการทำงาน นั่นคือไม่หยุดเรียนแม้จะเรียนจบแล้ว แต่เรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆในการทำงานของตน โดยมีแนวคิดที่สำคัญได้แก่
สำหรับผู้เขียนซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการความรู้มาตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน มีมุมมองถึงการจัดการความรู้ว่า เป็น การนำความรู้มาใช้โดยมีกระบวนการในการสรรหาเพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันไปยังบุคลากรเป้าหมายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยมีเป้าหมายเพื่อ
กรอบคิดง่ายๆ กับกระบวนการจัดการความรู้ ได้แก่
¯
นำใช้ - มีให้ใช้
¯
สรรหา - ไม่มีให้ใช้
¯
ถ่ายทอด - มีแล้วส่งต่อให้ทั่วถึง
¯
แบ่งปัน -
มีแล้วให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง
¯
ถูกต้อง -
มีแล้วตรวจสอบให้ถูกยิ่งขึ้น
¯
เหมาะสม -มีแล้วเลือกผู้ที่จำเป็นต้องใช้
องค์ประกอบสำคัญของการบริหารจัดการความรู้
1. คน (People) เป็นแหล่งความรู้
และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
2. เทคโนโลยี
(Technology) เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา
จัดเก็บ แลกเปลี่ยน
รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น
3. กระบวนการความรู้ (Knowledge
Process) เป็นการบริหารจัดการเพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานและเกิดนวัตกรรม
ประเภทของความรู้
ความรู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้สองประเภท คือ ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
และความรู้แฝงเร้น หรือความรู้แบบฝังลึก (Tacit Knowledge)
ความรู้ชัดแจ้งคือความรู้ที่เขียนอธิบายออกมาเป็นตัวอักษร เช่น
คู่มือปฏิบัติงาน หนังสือ ตำรา เว็บไซต์ Blog ฯลฯ
ส่วนความรู้แฝงเร้นคือความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน
ไม่ได้ถอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือบางครั้งก็ไม่สามารถถอดเป็นลายลักษณ์อักษรได้
ความรู้ที่สำคัญส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นความรู้แฝงเร้น อยู่ในคนทำงาน
และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่อง
จึงต้องอาศัยกลไกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คนได้พบกัน
สร้างความไว้วางใจกัน และถ่ายทอดความรู้ระหว่างกันและกัน
ความรู้แบบฝังลึก
ความรู้แบบฝังลึก (Tacit
Knowledge) เป็นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คำพูดได้
มีรากฐานมาจากการกระทำและประสบการณ์ มีลักษณะเป็นความเชื่อ ทักษะ
และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ต้องการการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ
มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทเฉพาะ (Context-specific)
ทำให้เป็นทางการและสื่อสารยาก เช่น วิจารณญาณ ความลับทางการค้า
วัฒนธรรมองค์กร ทักษะ ความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ
การเรียนรู้ขององค์กร ความสามารถในการชิมรสไวน์
หรือกระทั่งทักษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการผลิตหรือไม่
ความรู้ชัดแจ้ง
ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit
Knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย
จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ
(Objective) เป็นทฤษฏี
สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็นทางการ
ไม่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น
นโยบายขององค์กร กระบวนการทำงาน ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์
เป้าหมายและความสามารถขององค์กร
ระดับของความรู้
หากจำแนกระดับของความรู้
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
ดร. ประพนธ์ ผาสุกยืด แห่งสถาบันส่งเสริมความรู้เพื่อสังคม (สคส) ได้นำเสนอ “โมเดลปลาทู”เป็นโมเดลที่เปรียบการจัดการความรู้เป็น 3 ส่วนคือ
ที่มา : : http://www.opdc.go.th/thai/E_Newsletter/November48/KM.htm
เทคนิคการเรียนรู้
ระดับบุคคล
ระดับกลุ่ม
ระดับองค์การ
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้เป็นเครื่องมือ (tools) ที่ใช้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในระดับต่างๆ ซึ่งมีเครื่องมือที่หลากหลายได้แก่
พัฒนาการของการจัดการความรู้
1. การจัดการความรู้ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
1) Best Practises
ระบบองค์กรจะทำการแสวงหาและจัดเก็บองค์ความรู้ที่ได้รับรองว่าเป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศไว้ในระบบฐานข้อมูล
2) Lessons Learned
ระบบองค์กรจะทำการแสวงหาและจัดเก็บองค์ความรู้เกี่ยวกับปัญหาข้อผิดพลาดต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในองค์กร และแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นไว้ในระบบฐานข้อมูล
2. การจัดการความรู้ที่มุ่งความสัมพันธ์ของมนุษย์และมิติทางวัฒนธรรม
1) Tacit Knowledge
เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้จากผู้รู้แต่ละคน เช่น ผู้ที่จะเกษียณอายุ
หรือหัวหน้างานที่ต้องเลื่อนตำแหน่งไปทำงานที่อื่น หรือลาออก
เพื่อให้องค์ความรู้ที่จำเป็นคงอยู่กับองค์กรต่อไป
2) Community of Practices
เป็นกระบวนการในการรวมกลุ่มผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกันได้พูดคุย
แลกเปลี่ยนความรู้
และแสวงหาความรู้ใหม่ที่จำเป็นสำหรับเรื่องที่สนใจแล้วกลั่นกรองเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม
ซึ่งองค์กรจะอำนวยความสะดวกและรับองค์ความรู้เหล่านั้นไว้เป็นองค์ความรู้ขององค์กรเอง
3. การจัดการความรู้ที่เน้นความสำคัญของเนื้อหา
1) Content Management
เป็นการกำหนดเนื้อหาที่สำคัญต่องาน สร้างระบบการค้นคว้า
การมองหาความรู้ที่หลากหลาย และการหาแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้
2) Taxonomy
เป็นการแบ่งเนื้อหาเป็นกลุ่มๆ
เพื่อให้ผู้สนใจได้ศึกษาและแสวงหาความรู้แก่ตนเอง
3) Retrievability
เป็นการกำหนดเทคโนโลยีและระบบในการให้พนักงานสามารถเข้าถึงชั้นความรู้ที่แตกต่างกัน
ตามความเหมาะสมและจำเป็น
การสร้างความรู้ (Knowledge Creation - SECI)
แนวคิด SECI คือการเสริมสร้างความรู้ด้วยการต่อยอดระหว่างการแสวงหาความรู้และการใช้ความรู้ในระดับ tacit ผ่านการสอนงานและระบบพี่เลี้ยง (socialization) ซึ่งจะทำให้ได้ความรู้ ซึ่งจะต้องนำไปพูดคุย เสวนากับทีม ผู้รู้ และกลั่นกรองเป็นความรู้ชั้นต้น (externalization) ซึ่งหากสามารถปรึกษากับผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ ผ่านการสื่อสารนอกองค์กร การรายงานผลการใช้ความรู้ (combination) ต่างๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำมาใช้เรียนรู้ร่วมกันใหม่ในองค์กร (internalization) จะทำให้ได้องค์ความรู้ที่แท้ และเหมาะสมกับบริบทขององค์กรนั้น
การถ่ายทอดความรู้
การถ่ายทอดความรู้
อันเป็นส่วนประกอบของการจัดการองค์ความรู้
ถูกประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ตัวอย่างรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ เช่น
การอภิปรายของเพื่อนร่วมงานในระหว่างการปฏิบัติงาน,
การอบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการ, ห้องสมุดขององค์กร,
โปรแกรมการฝึกสอนทางอาชีพและการเป็นพี่เลี้ยง
ซึ่งรูปแบบการถ่ายทอดความรู้มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่กระจายอย่างกว้างขวางในศตวรรษที่
20 ก่อให้เกิดเทคโนโลยีฐานความรู้, ระบบผู้เชี่ยวชาญและคลังความรู้
ซึ่งทำให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ง่ายมากขึ้น
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในสาขารังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา การจัดการความรู้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เนื่องด้วยเป็นการเรียนรู้ในการทำงานประจำ อย่างไรก็ตามเนื้อหาความรู้ที่สำคัญที่จะต้องมีการแสวงหาความรู้และจัดหมวดหมู่ที่สำคัญ ได้แก่
อย่างไรก็ตามการจัดการความรู้ในงานรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษามีข้อจำกัด เนื่องจาก
พัฒนาการในการจัดการความรู้อย่างหนึ่งสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในงานรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา มีหลักไมล์ที่สำคัญ ได้แก่
–
หน่วยรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษารพ.ศิริราช
– บริษัทอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ
– สมาชิกชมรมฯ
ที่มาจากรังสีเทคนิคและพยาบาลทั่วประเทศ
–
การจัดพิมพ์วารสารชมรมรังสีเทคนิคและพยาบาลเฉพาะทางรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาไทย
ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นปีที่ 4 แล้ว
– การเผยแผ่ผ่านอินเตอร์เน็ต ในชื่อ
www.trtnvir.webs.com
ปัจจัยหลักที่เอื้อต่อความสำเร็จ
การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือที่มีฐานคิดอยู่ที่การเสริมคุณค่าให้แก่มนุษย์และการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและพนักงาน จากนายจ้างลูกจ้าง มาเป็นนายจ้างและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีปัญหาและอุปสรรคจำนวนมากเกิดขึ้นในประวัติการพัฒนาการจัดการ หากแต่นักวิชาการได้มีความเห็นตรงกันว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การจัดการความรู้สำเร็จได้นั้น มี 5 ด้านได้แก่
การจัดการความรู้เป็นกระบวนคิดในการพัฒนาระบบที่เน้นความสำคัญที่มนุษย์และสิ่งที่มนุษย์คิด คือวิชชา เพื่อกำจัดอวิชชาต่างๆ เกิดเป็นความรู้แท้ ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดและบันทึก ขณะเดียวกันก็ต้องการผู้สืบทอดเช่นกัน หัวใจนักปราชญ์ที่ได้เรียนมาแต่สมัยก่อน คือ สุ จิ ปุ ลิ อันได้แก่
- สุ
หมายถึง สุตต แปลว่า ฟัง
- จิ หมายถึง
จินต แปลว่า คิด
- ปุ หมายถึง
ปุจฉา แปลว่า ถาม
- ลิ หมายถึง
ลิขิต แปลว่า เขียน
แต่ชนรุ่นหลังได้เรียนเป็น ฟังพูดอ่านเขียน ก็เลยไม่ได้คิด และไม่ได้ถาม ทำให้ไม่เกิดการคิด รวมความไปถึงการคิดใหม่ การมองหาคำถามใหม่ และสุดท้ายทำให้เกิดการมองไม่เห็นปัญหา ทำให้แรงผลักดันหลักของการจัดการความรู้คือการสนใจใฝ่รู้ได้ลดลงไป คนไม่แสวงหาความรู้ใหม่ เพียงใช้ความรู้ที่มีอยู่เท่าที่จำเป็น ขาดผู้ที่มุ่งหวังพัฒนาตนไปเป็นผู้รู้ ดังนั้นการจัดการความรู้พึงมองไปรอบด้าน เพื่อมองหากรอบกระบวนทรรศน์ของคนที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาให้ก้าวไปข้างหน้า โดยชี้ให้เห็นถึงผลของการพัฒนาสังคมไปสู่สังคมฐานความรู้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
บรรณานุกรม
กรอบคิดง่ายๆ กับกระบวนการจัดการความรู้ ได้แก่
¯ นำใช้ - มีให้ใช้ ¯ สรรหา - ไม่มีให้ใช้ ¯ ถ่ายทอด - มีแล้วส่งต่อให้ทั่วถึง ¯ แบ่งปัน - มีแล้วให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง ¯ ถูกต้อง - มีแล้วตรวจสอบให้ถูกยิ่งขึ้น ¯ เหมาะสม -มีแล้วเลือกผู้ที่จำเป็นต้องใช้
ชอบค่ะ