คืนหนึ่งที่สวนธรรมถ้ำพุหวาย2
โสภณ เปียสนิท
(รูปหล่อทองเหลืองหลวงปู่วัดปากน้ำที่รอประดิษฐานที่วิหารกำลังก่อสร้าง)
เบื้องหน้าพระประธานใหญ่ของสำนักสงฆ์ มีโครงการก่อสร้างวิหารหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี ที่ดำเนินการเทพื้น และตั้งเสาเสร็จแล้ว รอการมุงหลังคา ตกแต่งรายละเอียดต่อ และรอศรัทธาจากสาธุชน คาดว่าคงต้องใช้เงินอีกจำนวนหลายแสนบาทจึงจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ และนิมนต์หลวงปู่ฯจากศาลามาประจำที่วิหารแห่งนี้ต่อไป
ติดแนวเขตวนอุทยาน ถัดจากพระประธานไปด้านในหลืบเขา มีอาคารโล่งหลังเล็ก ยกพื้นสูงโดยใช้บันได 3 ขั้น ใช้เป็นโรงฉันภัตตาหาร ขนาด 3-4 รูป ก็เต็มศาลาพอดี ใช้เป็นที่เก็บเครื่องครัว เช่นเตาแก๊ส 2 หัว ถ้วยโถโอชามช้อนหม้อกระทะ กะละมังอีกจำนวนหนึ่ง
หน้าโรงฉันหลังเล็กนี้มีห้องน้ำขนาด 5 ห้องรองรับแขกกั้นกลางระหว่างศาลากลางสำนักสงฆ์ขนาด 6x6 วา ลึกตามแนวเขตหลังเข้าไปอีกนิด มีโรงรถขนาดพอดีคัน หลังคาสังกะสีเก่ากันฝน จอดรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่พี่สาวถวายให้ท่านใช้ประโยชน์อยู่หนึ่งคัน ทราบว่าพี่สาวของท่าน ซื้อรถมาแล้ว คนขับหายตัวไป ตามหาไม่พบ รอเป็นปีก็ไม่กลับมา จึงนำมาถวายที่วัดเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อไป
เดินคุยกับหลวงพี่พระอาจารย์ไป เก็บข้อมูลด้วยสายตา และฟังจากคำบอกเล่า และด้วยกล้องเป็นภาพ และเป็นวิดิโอเรื่อยไป ขณะที่น้องชาย จ่าทหาร ซึ่งเป็นสารถีในการเดินทางครั้งนี้ ขอตัวกลับลพบุรีก่อนพระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา พระอาจารย์เดินนำผมไปที่กุฏิหลังเล็ก ภายในห้องเบื้องหลังของท่าน มีรูปหลวงปู่แก้วใสใส่ไฟดวงเล็กไว้ภายใน เกิดแสงสว่างนวลเย็นตา เป็นแสงสว่างแห่งเดียวตลอดการสนทนากว่า2 ชั่วโมง ไฟที่เห็นนี้ได้มาจากแผงโซลาเซลที่ อบต. นำมาถวายไว้นานแล้ว ใช้ได้เพียงฟังวิทยุ และแสงไฟฉายส่ององค์หลวงปู่เท่านั้น มากกว่านั้นจะไม่พอใช้
หลังการสนทนาธรรมกับท่านเลย 3 ทุ่มไปนาน ทั่วไพรพนามีเพียงความมืดและสรรพสำเนียงแห่งป่ายามรัตติกาลก้องกังวานกลางความเงียบ ผมขอตัวกลับไปพักผ่อนที่กุฏิอีกหลังหนึ่งใกล้ๆ กัน พระอาจารย์เดินตามมาส่งพร้อมยื่นไม้ขีดไฟ 1 กล่อง เทียน 1 กำ ไฟฉายอีก 1 ดวง ขณะสายฝนยังคงหลั่งรินเหมือนฟ้ารั่วต่อเนื่องยาวนาน เสียงส่ำสัตว์จากป่าดง และแอ่งน้ำใกล้กุฏิระงมจนแสบแก้วหู ท่านบอกว่า “อาบน้ำพรุ่งนี้ก็ได้นะ รวบยอดคราวเดียวเลย” และเดินกลับไปที่กุฏิ ผมเร่งตนเองอาบน้ำ เพราะเหนียวตัวกับการเดินทางยาวไกล น้ำเย็นจัดเหมือนใครแอบใส่น้ำแข็งไว้นานแล้ว แสงเทียนสว่างแวม 3 ดวงให้ความอบอุ่นทางจิตใจพ้นความหวาดกลัว แถมยังค่อนข้างโรแมนติกเสียด้วย
ก่อนล้มตัวลงนอนบนผ้าปูที่นอนพื้นเล็ก และหมองขิด 1 ใบ มองรูปพระพุทธองค์บานขนาด 12 นิ้วบนหัวนอน ยกมือไหว้สวดมนต์นิดหน่อย แบบคนขี้เกียจ แล้วบอกกล่าวเจ้าที่ว่า มาขอพักนอนหนึ่งคืน ท่านก็เงียบไม่ตอบคำ ถือว่ายอมรับโดยดุษณี ยัง....ยังนอนไม่หลับ เพราะหัวนอนยังมีชั้นหนังสือเต็มทั้ง 3 ชั้นคำนวณว่า มีหนังสือราว 200-300 เล่ม ผมเลือกมาวางใกล้มือ 3 เล่ม ทางสายพระนิพพาน และ กฎแห่งกรรม ของหลวงปู่ฤษีฯ วัดท่าซุง ส่วนอีกเล่ม ประวัติพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เลือกมาอ่านก่อน เพราะไม่ค่อยได้อ่านเรื่องของท่านมานาน อ่านได้นานราวครึ่งชั่วโมง หาวครบสามครั้ง จึงดับสามแรงเทียนแล้วหลับตาลงก้าวสู่นิทรารมณ์ท่ามกลางเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ของรัตติกาล
ตีห้าตรงเผงแว่วเสียงปลุกแปลกแปร่งเป็นภาษาฝรั่ง “It’s time to get up” ซ้ำๆ ก่อนผมจะปิดทัน ลุกขึ้นนั่งตั้งกายตรงขับไล่ความง่วง เริ่มประคองสติให้อยู่กับปัจจุบัน ด้วยคำภาวนา “สัมมา อรหัง” ไปเรื่อยๆ ใจดิ้นรนคิดเรื่องอื่น ได้สติก็ดึงกลับมาภาวนาต่อไป ดึงกันไป ดึงกันมา เวลาค่อยๆ คลืบคลานผ่านไป จนแสงเงินแสงทองลอดบานเกล็ดหน้าต่างเข้ามาในห้อง ความเกียจคร้านร้องเตือนมาชวนสงสาร “นั่งนานพอแล้ว เลิกเถอะ” ผมก็ใจอ่อนสมยอมขยับเปลี่ยนท่าสรุปจบด้วยการสวดมนต์อีกราว 10-15 นาที ลงท้ายด้วยการแผ่เมตตาให้แก่ส่ำสัตว์สุดขอบจักรวาล
เดินออกจากห้อง เห็นหลวงพี่พระอาจารย์ยืนยิ้มอยู่ริมศาลา “ไง...หลับดีหรือไม่” เป็นนัยๆ ว่าพบเห็นสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ “ดีมากเลยครับ หลับเป็นตาย” ท่านชี้มือไปด้านหน้าสำนักสงฆ์ มองตามนิ้วชี้ เห็นกลุ่มหมอกขาวโพลนจับกลุ่มเหนือยอดเขาสูงหลายแห่ง
(เมล็ดมะหาด ต้นใหญ่ไม้เนื้อแข็ง ตกลงที่โคนต้น รอวันเติบโตต่อไป)
พระชวนผมเดินออกหน้าสำนักสงฆ์ ผ่านบ่อน้ำของชาวบ้านหน้าวัด ท่านเล่าว่า ชาวบ้านมักมาปลูกเรือนรับรอง พักผ่อนไว้ตามไร่ในป่าแถวนี้ แต่ยามค่ำคืนมักปิดประตูทิ้งเรือนไว้ก่อนกลับไปนอนค้างคืนที่บ้านในหมู่บ้านห่างออกไปราว 6-7 กิโลเมตร ระหว่างเดินทางพระท่านชี้ให้ชมต้นไม้ใบหญ้าอย่างภาคภูมิใจ “นั่นต้นโพธิ์จากศรีลังกา พระเพื่อนกันนำมาฝาก” “นั่นเถากระดุมทองปลูกไว้คลุมดิน” “นี่ต้นกล้วยป่า ตัดทิ้งไปมาก แต่ก็มีประโยชน์ ใช้ตัดเป็นท่อนคลุมโคนต้นไม้ที่เราต้องการปลูก ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น” “โน่นเขื่อนเล็ก หรือฝายชะลอน้ำ มี 4 แห่งแต่น้ำไม่ขังเท่าไร เก็บน้ำไม่อยู่ คงต้องเอาขี้วัวโยนลงไปให้เกิด ตะไคร้อุดรอยรั่วซึม” “นี่ตรงบริเวณนี้ ต่อไปเป็นลานต้อนรับญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรม” “ที่พักยังไม่พอนะครับหลวงพี่” “ก็ปักกลดเอาก่อนซิ แล้วค่อยๆ สร้างกุฏิหลังเล็กๆ รองรับต่อไป” “ให้ญาติโยมมาสร้างเองหรือครับ” “อย่างนั้นก็ได้ ให้เป็นสิทธิ์” “ดีครับ โยมมีสิทธิ์เอากุฏิเป็นของตน” “เปล่า โยมมีสิทธิแค่มาพักผ่อนเท่านั้น กุฏิเป็นของสงฆ์ไปเลย” “อ๋อ อย่างนั้น”
เกือบ 9.00 น. ผมได้ยินเสียงท้องตัวเองร้องบอกว่าหิวแล้ว “จ๊อกๆ” หลายครั้ง จึงสอบถามหลวงพี่ว่า มีอาหารสำเร็จรูปอยู่บ้างหรือไม่ “เออ...ลืมไป มีเยอะโน่น ในฐานอาสน์สงฆ์” ท่านเดินตรงไปที่นั่นแล้วเปิดประตูลับ ค้นหาสักครู่ ก่อนหยิบอาหารสำเร็จรูปหลายแพ็กฝุ่นเกรอะ ผมตรวจสอบอายุเล็กน้อย เห็นว่าเลยไปไม่มากนักคงพอประทังความหิวได้หนึ่งมื้อ เลือกหยิบมา 2 ซองพนมมือขอ “เอาไปเลยโยม” ผมเดินตรงสู่กุฏิห้องครัว เริ่มต้มน้ำร้อน เพื่อประทังความหิวมื้อเช้า
(โปรดติดตามต่อไป)