๓.๔. กำเนิดและวิวัฒนาการแห่งรัฐ
ในอัคคัญญสูตร ได้พูดถึงการวิวัฒนาการแห่งรัฐที่เป็นขั้นตอน เริ่มจากการเกิดปัญหาขึ้นในสังคม เป้าหมายและวิธีการแก้ปัญหา และเกิดเป็นสัญญาประชาคมขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่เป้าหมายที่มีคุณธรรมเป็นพื้นฐาน
๓.๔.๑.พัฒนาการของสังคมมนุษย์ (ครอบครัว/หมู่บ้าน/รัฐ)
แนวคิดของพระพุทธศาสนา มนุษย์มีจิตบริสุทธิ์มาแต่เดิมคือมาจากอาภัสสรพรหม แต่กระนั้นก็ตาม มนุษย์เมื่อถูกสภาพแวดล้อมและความไม่พอใจในสภาพเป็นอยู่ของตนเอง จึงมีการลิ้มลองของแปลกใหม่ จึงทดลองและละเมิดกฏเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของสังคม จึงเกิดความทะยานอยากก่อให้เกิดปัญหา ไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายที่สุดก็มีการสร้างครอบครัวขึ้นมา
“วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมัยนั้น การเสพเมถุนธรรมอันเป็นเหตุให้ถูกขว้างฝุ่นใส่เป็นต้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี สมัยนั้นเหล่าสัตว์ผู้เสพเมถุนธรรม ไม่ได้เข้าไปยังหมู่บ้าน หรือนิคมตลอด ๑ เดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นต้องการเสพอสัทธรรมเกินเวลา ต่อมาจึงพากันสร้างเรือนขึ้น เพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น” [1]
แม้ข้อความตอนนี้จะบ่งบอกถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชน หรือหมู่บ้านกันมาก่อน แต่การอยู่รวมกันเป็นครอบครัว หรือการสร้างบ้านเป็นหลัง ๆ พึ่งเกิดหลังจากคนในชุมชนจับคู่กันเป็นครอบครัวขึ้น เมื่อมีการจับคู่และสร้างบ้านเรือนมากขึ้น ๆ ก็พัฒนาการเป็นหมู่บ้าน และรัฐขึ้นในที่สุด เนื่องจากมีการกักตุนอาหารเพื่อวันข้างหน้าและมีการเข้าไปจับจองปักเขตแดนเพื่อทำการเกษตรกันขึ้น
“เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ ข้าวสาลีของพวกเราจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง
มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นอีก ความพร่อง
ได้ปรากฏให้เห็นจึงได้มีข้าวสาลีเป็นหย่อม ๆ ทางที่ดี เราควรแบ่งข้าวสาลี
และปักปันเขตแดนกันเถิด ครั้นนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงพากันแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน” [2]
๓.๔.๒. กำเนิดแห่งรัฐ (Origin of the State)
เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันมากขึ้น มักเกิดปัญหาทางสังคม เหตุเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพและชีวิตของมนุษย์ในการอยู่รวมกัน การที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน มนุษย์จะต้องรู้ว่าตนมีสิทธิและหน้าที่อย่างใดบ้างต่อสังคม [3] ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมชุมชนทำให้มีการพัฒนาการของรัฐ ซึ่งพอที่จะประมวลมาได้ดังนี้
๑) การเหยียดผิวพรรณ (Apartheid)
มีการดูถูกและการไม่เคารพสิทธิของกันและกัน จนทำให้ความดีงามร่วมกันหายไป มนุษย์เดิมมีปีติเป็นภักษา (อาหาร) ต่อมาจึงมีความติดใจในรสของง้วนดิน จึงกินเข้าไปทำให้กายหยาบขึ้น จึงทำให้บางจำพวกผิวพรรณดีงาม บางจำพวกผิวพรรณงาม บางจำพวกผิวพรรณไม่งามจึงทำให้เกิดปัญหาข้อนี้ขึ้นจึงก่อให้เกิดมานะถือตัวขึ้นมา จากนั้นง้วนดินที่เคยมีก็หายไป – เกิดมีสะเก็ดดินขึ้นแทน – ร่างกายก็หยาบขึ้นอีกสะเก็ดดินก็หายไป-จึงเกิดเครือดินขึ้นมาแทน ร่างกายก็หยาบขึ้นมีการดูถูกกันขึ้นอีก เครือดินก็หายไป ในที่สุดก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นมาแทน
วิถีชีวิตช่วงนี้จะเป็นการหากินแบบสัตว์ทั่ว ๆ ไป คือไม่มีการสะสมอาหาร เมื่อมีความต้องการอาหารตอนเช้าก็ไปเก็บข้าวสาลีมากิน พอตกตอนเย็นก็ไปเก็บข้าวสาลีมากินใหม่ ณ จุดนี้เองจึงทำให้มนุษย์มีอวัยวะเพศปรากฏที่แตกต่างกัน กล่าวคือปรากฏว่ามีเพศชาย-หญิงขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างเพ่งกันในที่สุดจึงเกิดมีการเสพเมถุนกันขึ้น
๒) ผลประโยชน์ (Benifit)
เมื่อมนุษย์มีความต้องการที่จะสะดวกสบาย หรือมีความเห็นแก่ตัวและมีความโลภเกิดขึ้น จึงคิดที่จะสะสมอาหารโดยการออกไปเพียงครั้งเดียวแต่เก็บข้าวสาลีมาทั้งตอนเช้าและเย็น จึงเป็นที่มาของผลประโยชน์ ซึ่งเรื่องของ “ผลประโยชน์” นี้เองนักวิชาการบางท่านที่มองพัฒนาการทางการเมืองว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันระหว่างชนชั้น นั้นมีแนวโน้มว่าจะตีความหมายของคำว่า “ชนชั้น” ในแง่เป็นสถานภาพทางเศษรษฐกิจ และตีความหมายของคำว่า “ผลประโยชน์” ในแง่ที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ [4] ในที่สุดก็มีการเอาอย่างและเกิดการแข่งขันกันขึ้นจากการที่ออกไปหาอาหารครั้งเดียวสามารถบริโภคได้ ๑ วันก็เป็น ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ วันตามลำดับจนข้าวสาลีที่เกิดเป็นเองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสมบัติของส่วนรวมเมื่อมนุษย์ต้องการบริโภคจึงไปเก็บเอามากินตามความต้องการ ไม่มีการแย่งชิงกัน เมื่อมีบุคคลที่เก็บงำของส่วนกลางไว้ส่วนตนมากเกินไปจึงเกิดปัญหาขาดแคลน มนุษย์จึงมีพันธสัญญาต่อกันที่จะกำหนดเขตแดนพร้อมกับตกลงกันว่าผืนดินแห่งนี้เป็นของใครและมีการปักเขตแดนกันขึ้น
๓) การลักขโมย (Larceny)
เมื่อมนุษย์เริ่มการแบ่งเขตแดนกัน และมีการเพราะปลูก เริ่มมีคนที่ขี้เกียจ เก็บงำของตนไว้แต่ลักขโมยของผู้อื่นเมื่อมีการจับตัวผู้กระทำความผิดได้ ก็มีการลงโทษ ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้หากแต่มนุษย์ทุกคนเข้าใจถึงสภาวะของกิเลสมนุษย์แล้ว ความจริงก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาจากพฤติกรรมของตนเอง ทั้งสิ้นเมื่อมีการทำผิดกันซ้ำ ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะคอยจับคนผิดมาลงโทษจึงทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนและมีมติที่จะสรรหาผู้ที่ทำหน้าที่แทนขึ้น
๔) เป้าหมายแห่งรัฐ (State target )
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสังคม ประชาชนหวังความสันติสุขขึ้นในชุมชนจึงได้แต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ในด้านการดูแล รักษาทรัพย์สินและพิจารณา ตำหนิ และขับไล่บุคคลผู้ทำผิดก่อน หากมองในทัศนะปรัชญาการเมืองตะวันตกอย่างอริสโตเติล ถือว่า “รัฐ” เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับสังคมมนุษย์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ามีอย่างอื่นอีกนอกจากรัฐก็ตาม แต่เขาเห็นว่าสำหรับมนุษย์แล้วการรวมตัวกันขึ้นนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรก คือครอบครัว หรือวงศ์ตระกูล ถัดมาจากนั้นก็หมู่บ้านแล้วรวมตัวกันจนเป็นรัฐ [5] ขณะเดียวกันก็แบ่งปันข้าวสาลีให้ ในพระสูตรระบุเอาไว้ว่า
“วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงได้ประชุมกันปรับทุกข์กันว่าท่านผู้เจริญ บาปธรรมปรากฏในหมู่สัตว์แล้ว คือการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ การครหาหลักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือทัณฑาวุธจักปรากฏ ทางที่ดีพวกเราควรสมมต (แต่งตั้ง) สัตว์ผู้หนึ่ง ซึ่งจะว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ พวกเราจักแบ่งปันข้าวสาลีให้แก่สัตว์ผู้นั้น ” [6]
จะเห็นว่าการที่มหาชนได้ปรึกษาหารือกันนั้นแสวงหาเป้าหมายของรัฐ หรือสังคม หรือหน่วยงาน บุคคล คณะบุคคล หรือองค์กรที่จะมาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการรวมตัวกันของครอบครัวและหมู่บ้านต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อคุณธรรมด้วยการมุ่งผลบั้นปลายเพื่อให้บังเกิดความสมบูรณ์ (absolute) และดำรงอยู่ได้อย่างพึ่งตัวเองได้โดยตลอด (self sufficiency) [7] ซึ่งจุดประสงค์สุดท้ายของการสร้างรัฐตามพระสูตรนั้นมีเหตุผลอยู่ ๒ ประการคือผู้ปกครองชุมชนจะต้องมีหน้าที่ในการดูแลนาข้าวสาลีคือใครต้องการข้าวสาลี ขัตติยะ(ผู้ปกครอง)ก็จะเป็นผู้อนุญาต หรือใครแอบขโมย ขัตติยะจะเป็นผู้จับกุมผู้นั้นมาลงโทษ ประการที่สองคือสร้างความสุข ความยินดีให้กับผู้อยู่ใต้ปกครองอันเนื่องมาจากการแก้ปัญหาข้อแรกได้สำเร็จ นี้คือวัตถุประสงค์เริ่มแรกของการสร้างระบบการปกครองของชุมชนโบราณ [8] ในที่นี้คือการแต่งตั้งประมุข หรือผู้นำขึ้น
๕) วิธีการสรรหา (Recruitment) การเลือกผู้แทน หรือบุคคลผู้จัดการปัญหาในสมัยนั้นใช้วิธีการสรรหาเพื่อแต่งตั้ง โดยเลือกเอาจากบุคคลผู้มีรูปร่างดี พฤติกรรมดี เข้าสู่ระบบ
“ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเข้าไปหาท่านที่มีรูปงดงามกว่า น่าดูกว่า
น่าเลื่อมใสกว่า น่าเกรงขามกว่า แล้วจึงได้กล่าวดังนี้ว่า มาเถิด ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิดและพวกเราจักแบ่งปันข้าวสาลีให้แก่ท่าน ” [9]
๖) องค์ประกอบแห่งรัฐ (State Organization)
รัฐตามแนวคิดปรัชญาการเมืององค์ประกอบแห่งรัฐถือว่ามีความสำคัญอยู่มิใช่น้อย หากพิจารณา ถึงองค์ประกอบของรัฐ ตามคติของชาวตะวันตกจะพบคำว่า รัฐ หรือ ประเทศ นั้นมีอยู่ถึง ๔ ประการ คือ [10]
๑. ประชากร (Population)
๒. ดินแดน (Territory)
๓. รัฐบาล (Government)
๔. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty)
เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบแห่งรัฐจะเห็นว่ารัฐในอัคคัญสูตร เปรียบเทียบกับองค์ประกอบแห่งรัฐในทฤษฎีตะวันตก และพอจะประมวลได้ ดังนี้
๑.ประชากร (Population) แม้อัคคัญสูตรจะไม่ได้ระบุจำนวนประชากรที่ชัดเจนว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด แต่หากพิจารณาจาก ข้อความดังต่อไปนี้ คือ “สัตว์เหล่านั้น” , “ สัตว์ทั้งหลาย” , “หมู่บ้าน” , “นิคม” , “พวกเรา” เป็นต้น ก็จะเห็นร่องรอยของการมีประชากรที่มีจำนวนมากอยู่มิใช่น้อย ประชากรดังกล่าวนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชุมชน
๒.ดินแดน (Territory) ในพระสูตรไม่ได้ระบุสถานที่ หรือแผนที่ว่าคือจุดไหน ส่วนไหนของโลก หรือเป็นชมพูทวีปแต่อย่างใด เพียงแต่เรียกรวม ๆ ว่าโลกนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตามประชากรได้อพยพมาจากที่อื่น (พรหมโลก) แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานขึ้นที่แน่นอน มีการสร้างบ้านเรือน, นิคมขึ้นและที่สำคัญมีการปักเขตแดนพื้นที่การทำมาหากินกันอยู่
๓.รัฐบาล (Government) คือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้ความสงบเรียบร้อย ในพระสูตรได้ระบุชัดเจนว่ามีการสรรหาบุคคลผู้เป็นผู้นำ หรือต่อมาเรียกว่ากษัตริย์ หรือ มหาสมมต หรือ ราชา ขึ้นมาเพื่อปกครองคุ้มครองรักษาโดยประชาชนได้จ่ายภาษีที่เรียกว่าส่วนแบ่ง คือข้าวสาลีให้ ทั้งนี้รัฐบาลมีหน้าที่กำหนดนโยบายของรัฐและต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามนโยบายที่วางเอาไว้ รัฐบาลต้องสามารถปกครองดินแดนทุกส่วนของรัฐ อาณาเขต ประชาชนและรัฐบาลจะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่แฟ้นความสัมพันธ์นี้ในแต่ละรัฐจะแตกต่างกันไป มีลักษณะเฉพาะของตนเองซึ่งทำให้รัฐแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน [11]
การได้มาซึ่งอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองแม้จะไม่มีการเลือกตั้ง หรือมีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมือง เข้ามาเสนอตัวเพื่อทำงานให้กับสังคมก็ตาม แต่วิธีการสรรหาก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดของระบอบการเมืองการปกครองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนยังไม่มากเท่าใดนัก ดังปรากฏในพระสูตรว่า
“วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุที่สัตว์นั้นอันมหาชนสมมต (แต่งตั้ง)ฉะนั้น คำแรกว่า “มหาสมมต มหาสมมต” จึงเกิดขึ้น เพราะเหตุที่สัตว์นั้นเป็นใหญ่แห่งที่นาทั้งหลาย ฉะนั้น คำที่ ๒ ว่า “กษัตริย์ กษัตริย์” จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุที่สัตว์นั้นให้ชนเหล่าอื่นยินดีได้โดยชอบธรรม ฉะนั้น คำที่ ๓ ว่า “ ราชา ราชา” จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงได้เกิดมีแวดวงกษัตริย์ขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ” [12]
การใช้อำนาจในระยะเริ่มต้นไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อนเพราะการบัญญัติกฎหมายหรือ
นิติบัญญัติ มหาชนเป็นผู้ร่วมกันตราขึ้น ส่วนอำนาจทางการบริหาร และตุลาการเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ หรือผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง ทั้งนี้เมื่อประชาชนพร้อมใจกันแต่งตั้งอำนาจหน้าที่ให้แล้วผู้ปกครองย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด จึงทำให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญของอำนาจหน้าที่ ๒ ประการ คือ ตำแหน่ง (Position) ที่ได้รับมอบหมาย และบทบาท (Role) ของบุคคลผู้ใช้อำนาจนั้น [13]
๔. อธิปไตย (Sovereignty) คือความเป็นใหญ่ในการจัดการบริหารบ้านเมือง เมื่อประชาชนแต่งตั้งขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งก็ย่อมจะมอบอำนาจและสิทธิ์บางส่วนให้กับผู้นำ แม้ผู้นำ หรือกษัตริย์ ในยุคแรกจะไม่มีความชัดเจนเท่าปัจจุบันก็จริง แต่รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่มาก อำนาจอธิปไตย พระพุทธเจ้าไม่ได้มองเป็นประเด็นสำคัญ ไม่ได้ตรัสความหมายของรัฐเอาไว้โดยตรง แต่เท่าที่ได้ประมวลจากบริบทของคำสอน ทำให้พอสรุปได้ว่า “รัฐ” ในทัศนะของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าสถานที่ค้นหาสัจจะธรรมและการอยู่ดีกินดีของประชาชน ทั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงมุ่งถึงเป้าหมายทางสังคมเป็นสำคัญมากกว่ารูปแบบของรัฐหรือการปกครอง
รูปแบบแห่งรัฐ (Forms of States)
ในพระสูตรไม่ได้ระบุรูปแบบของรัฐเอาไว้ว่าเป็นแบบไหน หากแต่ระบุถึงความเป็นมาโดยภาพรวมของรัฐเท่านั้น เมื่อจะอนุมานหรือเทียบเคียงได้ ดังนี้
ก.รัฐเดี่ยว เป็นการปกครองที่มีผู้นำสูงสุดอยู่ที่พระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลกลาง โดยมีเสนาอำมาตย์และปุโรหิตเป็นผู้คอยช่วยเหลือในการบริหารบ้านเมืองเป็นลำดับชั้น ลงมา
ข.ระบอบราชาธิปไตย ผู้นำในยุคนั้นสมัยนั้นมีผู้นำที่เรียกว่าราชา ที่มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองโดยกลุ่มคนในวรรณะเดียวกัน หรือครอบครัวเดียวกัน
๓.๕. ระบบกฏหมาย และการลงโทษ
โทษหรืออาญานั้นในพระสูตรได้ทำเป็นขั้นเป็นตอนจากโทษเบาหรือลหุโทษ ก่อนแล้วเพิ่มเป็นโทษหนักขึ้น ๆ เป็นครุโทษตามลำดับ เมื่อมีการจับตัวผู้กระทำความผิดได้ ก็มีการลงโทษ การจับคุมและการลงโทษในครั้งนั้นไม่มีกระบวนการที่ซับซ้อน แต่เป็นการจับและพิจารณาโดยชุมชนที่ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งมีลำดับถึง ๓ ขั้นตอนด้วยกันคือ ครั้งที่หนึ่ง ตักเตือน สั่งสอนกก่อน ครั้งที่สอง เรียกมาทำทัณฑ์บน ครั้งที่สาม ลงทัณฑ์ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นมติของชุมชนที่ใช้ร่วมกันจึงเป็นการลงโทษตามความผิด การลงโทษครั้งที่ ๑,๒ เป็นลหุโทษ ส่วนครั้งที่ ๓ เป็นครุโทษที่มีความชัดเจนในวิธีการ
“ แม้ครั้งที่ ๓ คนทั้งหลายได้จับเขาแล้วกล่าวว่า คุณ คุณ
ทำกรรมชั่วที่รักษาส่วนตนไว้แล้วถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้
มาบริโภคคุณอย่าได้ทำอย่างนี้อีก คนเหล่าอื่นใช้ฝ่ามือบ้าง
ก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้างทำร้าย วาเสฏฐะและภารทวาชะ
ในเพราะเรื่องนั้นเป็นเหตุ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขา
ไม่ได้ให้ปรากฏการครหาจึงปรากฏ การพูดเท็จจึงปรากฏ
การถือทัณฑาวุธจึงปรากฏ ” [14]
ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ปรีชา ช้างขวัญยืน กล่าวว่ากฎหมายตรงนี้ไม่ชัดเจน กล่าวคืออัตตาทำให้เกิดการพิพาท การลงโทษและความไม่เป็นธรรมคนจึงแก้ไขข้อบกพร่องนี้โดยการตัดอัตตา วิธีหนึ่งก็คือหาความถูกต้องหรือธรรม มาเป็นหลักข้อนี้จะเป็นที่มาของสถาบันที่สำคัญอีกสถาบันหนึ่งคือกฎหมาย ซึ่งจะทำให้รัฐเป็นรัฐที่สมบูรณ์แต่กฎหมายก็ยังไม่ปรากฏชัดเจนในตอนนี้ ยังคงต้องอาศัยความสามรถของบุคคลซึ่งส่วนรวมยอมรับคือมหาชนสมมต ซึ่งเป็นที่มาของสถาบันกษัตริย์หรือผู้ปกครองรัฐกระบวนการทางการเมืองซึ่งปรากฏในตอนนี้ก็คือการมีผู้ปกครองซึ่งมาจากการเลือกตั้ง [15]
รัฐศาสตร์ในอัคคัญสูตรนี้ ถือว่าเป็นสูตรที่ว่าด้วยการกำเนิดแห่งรัฐที่พระพุทธเจ้าทรงได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นและพัฒนาการ จากสัตว์ผู้ประเสริฐจากอาภัสสรพรหมสู่สามัญด้วยกระบวนการของการกระทำที่ลองผิดลองถูกด้วยอำนาจของกิเลสในที่สุดก็พัฒนาเป็นบ้านเรือน ชุมชน เมือง จนมีรูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชและที่สำคัญมีระบบกฎหมายและการลงโทษที่เหมาะสำหรับคนที่มีจำนวนน้อย และพระสูตรนี้เองเป็นการลมล้างความเชื่อในระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์ที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าถึงพันปี.
[1] ที.ปา. ๑๑ / ๑๒๗ / ๙๓.
[2] ที.ปา. ๑๑ / ๑๒๘ / ๙๕.
[3] สุพัตรา สุภาพ. ปัญหาสังคม. ( กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๓๕). หน้า ๑.
[4] สิทธิพันธ์ พุทธหุน, รศ. แนวการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓). หน้า ๒๑.
[5] ส. ศิวรักษ์. แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๓). หน้า ๒๕.
[6] ที.ปา. ๑๑ / ๑๓๐ / ๙๖.
[7] ส. ศิวรักษ์.แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล อ้างแล้ว หน้า ๕๓.
[8] ทวี ผลสมภพ, รศ. ปัญหาปรัชญาในการเมืองของโลกตะวันออก. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๔), หน้า ๖๓.
[9] ที.ปา. ๑๑ / ๑๓๐ / ๙๖.
[10] โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์, รศ.ดร. รัฐศาสตร์กับการเมือง. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๔), หน้า ๓๐.
[11] รัชนีกร บุญ-หลง. ภูมิศาสตร์การเมือง. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐),หน้า ๒๓–๒๔.
[12] ที. ปา. ๑๑ / ๑๓๑ / ๙๖–๙๗.
[13] สิทธิพันธ์ พุทธหุน. แนวการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓). หน้า ๖๕.
[14] ที.ปา. ๑๑ / ๑๒๙ / ๘๙.
[15] ปรีชา ช้างขวัญยืน. ทรรศนะทางการเมืองของพระพุทธศาสนา. ( กรุงเทพฯ : บริษัทสามัคคีสาส์น จำกัด, ๒๕๔๐). หน้า ๒๒.
ไม่มีความเห็น