๑๖.กำเนิดรัฐและวิวัฒนาการแห่งสังคมมนุษย์


.๔. กำเนิดและวิวัฒนาการแห่งรัฐ

                 ในอัคคัญญสูตร  ได้พูดถึงการวิวัฒนาการแห่งรัฐที่เป็นขั้นตอน  เริ่มจากการเกิดปัญหาขึ้นในสังคม  เป้าหมายและวิธีการแก้ปัญหา  และเกิดเป็นสัญญาประชาคมขึ้น  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่เป้าหมายที่มีคุณธรรมเป็นพื้นฐาน

.๔.๑.พัฒนาการของสังคมมนุษย์  (ครอบครัว/หมู่บ้าน/รัฐ)

แนวคิดของพระพุทธศาสนา มนุษย์มีจิตบริสุทธิ์มาแต่เดิมคือมาจากอาภัสสรพรหม  แต่กระนั้นก็ตาม มนุษย์เมื่อถูกสภาพแวดล้อมและความไม่พอใจในสภาพเป็นอยู่ของตนเอง  จึงมีการลิ้มลองของแปลกใหม่  จึงทดลองและละเมิดกฏเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของสังคม  จึงเกิดความทะยานอยากก่อให้เกิดปัญหา  ไม่มีที่สิ้นสุด  ท้ายที่สุดก็มีการสร้างครอบครัวขึ้นมา

“วาเสฏฐะและภารทวาชะ  สมัยนั้น  การเสพเมถุนธรรมอันเป็นเหตุให้ถูกขว้างฝุ่นใส่เป็นต้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี  สมัยนั้นเหล่าสัตว์ผู้เสพเมถุนธรรม  ไม่ได้เข้าไปยังหมู่บ้าน หรือนิคมตลอด  ๑  เดือนบ้าง  ๒  เดือนบ้าง  เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นต้องการเสพอสัทธรรมเกินเวลา  ต่อมาจึงพากันสร้างเรือนขึ้น  เพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น” [1]

แม้ข้อความตอนนี้จะบ่งบอกถึงการอยู่รวมกันเป็นชุมชน  หรือหมู่บ้านกันมาก่อน  แต่การอยู่รวมกันเป็นครอบครัว หรือการสร้างบ้านเป็นหลัง ๆ พึ่งเกิดหลังจากคนในชุมชนจับคู่กันเป็นครอบครัวขึ้น  เมื่อมีการจับคู่และสร้างบ้านเรือนมากขึ้น ๆ ก็พัฒนาการเป็นหมู่บ้าน  และรัฐขึ้นในที่สุด เนื่องจากมีการกักตุนอาหารเพื่อวันข้างหน้าและมีการเข้าไปจับจองปักเขตแดนเพื่อทำการเกษตรกันขึ้น

“เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ  ข้าวสาลีของพวกเราจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง 

มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง  ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกขึ้นอีก  ความพร่อง

ได้ปรากฏให้เห็นจึงได้มีข้าวสาลีเป็นหย่อม ๆ ทางที่ดี  เราควรแบ่งข้าวสาลี

และปักปันเขตแดนกันเถิด  ครั้นนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงพากันแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน” [2]

.๔.๒. กำเนิดแห่งรัฐ  (Origin  of  the  State)

                            เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันมากขึ้น มักเกิดปัญหาทางสังคม เหตุเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพและชีวิตของมนุษย์ในการอยู่รวมกัน การที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน มนุษย์จะต้องรู้ว่าตนมีสิทธิและหน้าที่อย่างใดบ้างต่อสังคม [3] ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมชุมชนทำให้มีการพัฒนาการของรัฐ ซึ่งพอที่จะประมวลมาได้ดังนี้

                ๑) การเหยียดผิวพรรณ     (Apartheid)

                มีการดูถูกและการไม่เคารพสิทธิของกันและกัน  จนทำให้ความดีงามร่วมกันหายไป มนุษย์เดิมมีปีติเป็นภักษา (อาหาร) ต่อมาจึงมีความติดใจในรสของง้วนดิน จึงกินเข้าไปทำให้กายหยาบขึ้น จึงทำให้บางจำพวกผิวพรรณดีงาม บางจำพวกผิวพรรณงาม บางจำพวกผิวพรรณไม่งามจึงทำให้เกิดปัญหาข้อนี้ขึ้นจึงก่อให้เกิดมานะถือตัวขึ้นมา จากนั้นง้วนดินที่เคยมีก็หายไป – เกิดมีสะเก็ดดินขึ้นแทน – ร่างกายก็หยาบขึ้นอีกสะเก็ดดินก็หายไป-จึงเกิดเครือดินขึ้นมาแทน ร่างกายก็หยาบขึ้นมีการดูถูกกันขึ้นอีก เครือดินก็หายไป ในที่สุดก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นมาแทน

                วิถีชีวิตช่วงนี้จะเป็นการหากินแบบสัตว์ทั่ว ๆ ไป คือไม่มีการสะสมอาหาร เมื่อมีความต้องการอาหารตอนเช้าก็ไปเก็บข้าวสาลีมากิน พอตกตอนเย็นก็ไปเก็บข้าวสาลีมากินใหม่  ณ  จุดนี้เองจึงทำให้มนุษย์มีอวัยวะเพศปรากฏที่แตกต่างกัน กล่าวคือปรากฏว่ามีเพศชาย-หญิงขึ้นมา ต่างฝ่ายต่างเพ่งกันในที่สุดจึงเกิดมีการเสพเมถุนกันขึ้น

)  ผลประโยชน์  (Benifit)

                เมื่อมนุษย์มีความต้องการที่จะสะดวกสบาย หรือมีความเห็นแก่ตัวและมีความโลภเกิดขึ้น จึงคิดที่จะสะสมอาหารโดยการออกไปเพียงครั้งเดียวแต่เก็บข้าวสาลีมาทั้งตอนเช้าและเย็น จึงเป็นที่มาของผลประโยชน์  ซึ่งเรื่องของ “ผลประโยชน์” นี้เองนักวิชาการบางท่านที่มองพัฒนาการทางการเมืองว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันระหว่างชนชั้น  นั้นมีแนวโน้มว่าจะตีความหมายของคำว่า “ชนชั้น” ในแง่เป็นสถานภาพทางเศษรษฐกิจ และตีความหมายของคำว่า “ผลประโยชน์” ในแง่ที่เป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ [4] ในที่สุดก็มีการเอาอย่างและเกิดการแข่งขันกันขึ้นจากการที่ออกไปหาอาหารครั้งเดียวสามารถบริโภคได้ ๑ วันก็เป็น ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ วันตามลำดับจนข้าวสาลีที่เกิดเป็นเองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสมบัติของส่วนรวมเมื่อมนุษย์ต้องการบริโภคจึงไปเก็บเอามากินตามความต้องการ  ไม่มีการแย่งชิงกัน  เมื่อมีบุคคลที่เก็บงำของส่วนกลางไว้ส่วนตนมากเกินไปจึงเกิดปัญหาขาดแคลน  มนุษย์จึงมีพันธสัญญาต่อกันที่จะกำหนดเขตแดนพร้อมกับตกลงกันว่าผืนดินแห่งนี้เป็นของใครและมีการปักเขตแดนกันขึ้น

               

            ๓)  การลักขโมย (Larceny)

                                เมื่อมนุษย์เริ่มการแบ่งเขตแดนกัน และมีการเพราะปลูก เริ่มมีคนที่ขี้เกียจ เก็บงำของตนไว้แต่ลักขโมยของผู้อื่นเมื่อมีการจับตัวผู้กระทำความผิดได้  ก็มีการลงโทษ  ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้หากแต่มนุษย์ทุกคนเข้าใจถึงสภาวะของกิเลสมนุษย์แล้ว  ความจริงก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาจากพฤติกรรมของตนเอง ทั้งสิ้นเมื่อมีการทำผิดกันซ้ำ ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะคอยจับคนผิดมาลงโทษจึงทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนและมีมติที่จะสรรหาผู้ที่ทำหน้าที่แทนขึ้น

๔) เป้าหมายแห่งรัฐ (State  target )

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสังคม  ประชาชนหวังความสันติสุขขึ้นในชุมชนจึงได้แต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ในด้านการดูแล  รักษาทรัพย์สินและพิจารณา  ตำหนิ และขับไล่บุคคลผู้ทำผิดก่อน หากมองในทัศนะปรัชญาการเมืองตะวันตกอย่างอริสโตเติล ถือว่า “รัฐ” เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับสังคมมนุษย์  แม้ว่าเขาจะยอมรับว่ามีอย่างอื่นอีกนอกจากรัฐก็ตาม  แต่เขาเห็นว่าสำหรับมนุษย์แล้วการรวมตัวกันขึ้นนั้น  สิ่งสำคัญอันดับแรก คือครอบครัว หรือวงศ์ตระกูล ถัดมาจากนั้นก็หมู่บ้านแล้วรวมตัวกันจนเป็นรัฐ [5]  ขณะเดียวกันก็แบ่งปันข้าวสาลีให้ ในพระสูตรระบุเอาไว้ว่า

“วาเสฏฐะและภารทวาชะ  ครั้นนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงได้ประชุมกันปรับทุกข์กันว่าท่านผู้เจริญ  บาปธรรมปรากฏในหมู่สัตว์แล้ว คือการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ  การครหาหลักปรากฏ  การพูดเท็จจักปรากฏ  การถือทัณฑาวุธจักปรากฏ ทางที่ดีพวกเราควรสมมต (แต่งตั้ง)  สัตว์ผู้หนึ่ง  ซึ่งจะว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน  ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ  พวกเราจักแบ่งปันข้าวสาลีให้แก่สัตว์ผู้นั้น ” [6]

จะเห็นว่าการที่มหาชนได้ปรึกษาหารือกันนั้นแสวงหาเป้าหมายของรัฐ  หรือสังคม  หรือหน่วยงาน  บุคคล  คณะบุคคล  หรือองค์กรที่จะมาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ดังนั้น  อาจกล่าวได้ว่าการรวมตัวกันของครอบครัวและหมู่บ้านต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อคุณธรรมด้วยการมุ่งผลบั้นปลายเพื่อให้บังเกิดความสมบูรณ์ (absolute)  และดำรงอยู่ได้อย่างพึ่งตัวเองได้โดยตลอด  (self  sufficiency) [7]  ซึ่งจุดประสงค์สุดท้ายของการสร้างรัฐตามพระสูตรนั้นมีเหตุผลอยู่  ๒  ประการคือผู้ปกครองชุมชนจะต้องมีหน้าที่ในการดูแลนาข้าวสาลีคือใครต้องการข้าวสาลี ขัตติยะ(ผู้ปกครอง)ก็จะเป็นผู้อนุญาต หรือใครแอบขโมย  ขัตติยะจะเป็นผู้จับกุมผู้นั้นมาลงโทษ  ประการที่สองคือสร้างความสุข  ความยินดีให้กับผู้อยู่ใต้ปกครองอันเนื่องมาจากการแก้ปัญหาข้อแรกได้สำเร็จ นี้คือวัตถุประสงค์เริ่มแรกของการสร้างระบบการปกครองของชุมชนโบราณ [8] ในที่นี้คือการแต่งตั้งประมุข หรือผู้นำขึ้น

๕) วิธีการสรรหา  (Recruitment) การเลือกผู้แทน  หรือบุคคลผู้จัดการปัญหาในสมัยนั้นใช้วิธีการสรรหาเพื่อแต่งตั้ง โดยเลือกเอาจากบุคคลผู้มีรูปร่างดี  พฤติกรรมดี  เข้าสู่ระบบ

“ ครั้นแล้ว  สัตว์เหล่านั้นจึงเข้าไปหาท่านที่มีรูปงดงามกว่า  น่าดูกว่า 

น่าเลื่อมใสกว่า  น่าเกรงขามกว่า  แล้วจึงได้กล่าวดังนี้ว่า มาเถิด ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน  จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิดและพวกเราจักแบ่งปันข้าวสาลีให้แก่ท่าน ” [9]

๖) องค์ประกอบแห่งรัฐ (State  Organization)

                รัฐตามแนวคิดปรัชญาการเมืององค์ประกอบแห่งรัฐถือว่ามีความสำคัญอยู่มิใช่น้อย หากพิจารณา ถึงองค์ประกอบของรัฐ ตามคติของชาวตะวันตกจะพบคำว่า  รัฐ หรือ ประเทศ  นั้นมีอยู่ถึง  ๔ ประการ คือ [10]

                ๑. ประชากร  (Population)

                ๒. ดินแดน  (Territory)

                ๓. รัฐบาล   (Government)

                ๔. อำนาจอธิปไตย  (Sovereignty)

                เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบแห่งรัฐจะเห็นว่ารัฐในอัคคัญสูตร  เปรียบเทียบกับองค์ประกอบแห่งรัฐในทฤษฎีตะวันตก และพอจะประมวลได้ ดังนี้

                ๑.ประชากร  (Population)               แม้อัคคัญสูตรจะไม่ได้ระบุจำนวนประชากรที่ชัดเจนว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด  แต่หากพิจารณาจาก  ข้อความดังต่อไปนี้ คือ  “สัตว์เหล่านั้น” , “ สัตว์ทั้งหลาย” , “หมู่บ้าน” , “นิคม” , “พวกเรา” เป็นต้น ก็จะเห็นร่องรอยของการมีประชากรที่มีจำนวนมากอยู่มิใช่น้อย ประชากรดังกล่าวนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม  เป็นชุมชน

                ๒.ดินแดน   (Territory)   ในพระสูตรไม่ได้ระบุสถานที่ หรือแผนที่ว่าคือจุดไหน ส่วนไหนของโลก หรือเป็นชมพูทวีปแต่อย่างใด เพียงแต่เรียกรวม ๆ ว่าโลกนี้เท่านั้น อย่างไรก็ตามประชากรได้อพยพมาจากที่อื่น (พรหมโลก) แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานขึ้นที่แน่นอน  มีการสร้างบ้านเรือน, นิคมขึ้นและที่สำคัญมีการปักเขตแดนพื้นที่การทำมาหากินกันอยู่

                ๓.รัฐบาล  (Government)               คือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหารจัดการบ้านเมืองให้ความสงบเรียบร้อย ในพระสูตรได้ระบุชัดเจนว่ามีการสรรหาบุคคลผู้เป็นผู้นำ หรือต่อมาเรียกว่ากษัตริย์ หรือ มหาสมมต หรือ ราชา ขึ้นมาเพื่อปกครองคุ้มครองรักษาโดยประชาชนได้จ่ายภาษีที่เรียกว่าส่วนแบ่ง คือข้าวสาลีให้  ทั้งนี้รัฐบาลมีหน้าที่กำหนดนโยบายของรัฐและต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามนโยบายที่วางเอาไว้ รัฐบาลต้องสามารถปกครองดินแดนทุกส่วนของรัฐ  อาณาเขต  ประชาชนและรัฐบาลจะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่แฟ้นความสัมพันธ์นี้ในแต่ละรัฐจะแตกต่างกันไป  มีลักษณะเฉพาะของตนเองซึ่งทำให้รัฐแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน [11]

๓.๑.ที่มาของอำนาจ  (Power)

                การได้มาซึ่งอำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองแม้จะไม่มีการเลือกตั้ง  หรือมีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมือง เข้ามาเสนอตัวเพื่อทำงานให้กับสังคมก็ตาม  แต่วิธีการสรรหาก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดของระบอบการเมืองการปกครองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนยังไม่มากเท่าใดนัก ดังปรากฏในพระสูตรว่า

                “วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุที่สัตว์นั้นอันมหาชนสมมต (แต่งตั้ง)ฉะนั้น คำแรกว่า “มหาสมมต  มหาสมมต”  จึงเกิดขึ้น เพราะเหตุที่สัตว์นั้นเป็นใหญ่แห่งที่นาทั้งหลาย  ฉะนั้น คำที่ ๒ ว่า “กษัตริย์  กษัตริย์” จึงเกิดขึ้นเพราะเหตุที่สัตว์นั้นให้ชนเหล่าอื่นยินดีได้โดยชอบธรรม ฉะนั้น คำที่  ๓ ว่า  “ ราชา  ราชา”  จึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้  จึงได้เกิดมีแวดวงกษัตริย์ขึ้นแก่สัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ” [12]

๓.๒. การใช้อำนาจ  (Exercise  of  Power)

การใช้อำนาจในระยะเริ่มต้นไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อนเพราะการบัญญัติกฎหมายหรือ

นิติบัญญัติ มหาชนเป็นผู้ร่วมกันตราขึ้น  ส่วนอำนาจทางการบริหาร และตุลาการเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ หรือผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง ทั้งนี้เมื่อประชาชนพร้อมใจกันแต่งตั้งอำนาจหน้าที่ให้แล้วผู้ปกครองย่อมจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด จึงทำให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญของอำนาจหน้าที่  ๒  ประการ  คือ  ตำแหน่ง (Position)  ที่ได้รับมอบหมาย  และบทบาท (Role) ของบุคคลผู้ใช้อำนาจนั้น [13]

 

                ๔. อธิปไตย   (Sovereignty)             คือความเป็นใหญ่ในการจัดการบริหารบ้านเมือง  เมื่อประชาชนแต่งตั้งขึ้นให้อยู่ในตำแหน่งก็ย่อมจะมอบอำนาจและสิทธิ์บางส่วนให้กับผู้นำ แม้ผู้นำ หรือกษัตริย์ ในยุคแรกจะไม่มีความชัดเจนเท่าปัจจุบันก็จริง  แต่รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่มาก อำนาจอธิปไตย  พระพุทธเจ้าไม่ได้มองเป็นประเด็นสำคัญ ไม่ได้ตรัสความหมายของรัฐเอาไว้โดยตรง แต่เท่าที่ได้ประมวลจากบริบทของคำสอน ทำให้พอสรุปได้ว่า  “รัฐ”  ในทัศนะของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าสถานที่ค้นหาสัจจะธรรมและการอยู่ดีกินดีของประชาชน   ทั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงมุ่งถึงเป้าหมายทางสังคมเป็นสำคัญมากกว่ารูปแบบของรัฐหรือการปกครอง

            รูปแบบแห่งรัฐ  (Forms  of  States) 

                ในพระสูตรไม่ได้ระบุรูปแบบของรัฐเอาไว้ว่าเป็นแบบไหน  หากแต่ระบุถึงความเป็นมาโดยภาพรวมของรัฐเท่านั้น  เมื่อจะอนุมานหรือเทียบเคียงได้  ดังนี้

                ก.รัฐเดี่ยว  เป็นการปกครองที่มีผู้นำสูงสุดอยู่ที่พระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลกลาง  โดยมีเสนาอำมาตย์และปุโรหิตเป็นผู้คอยช่วยเหลือในการบริหารบ้านเมืองเป็นลำดับชั้น ลงมา

                ข.ระบอบราชาธิปไตย  ผู้นำในยุคนั้นสมัยนั้นมีผู้นำที่เรียกว่าราชา  ที่มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองโดยกลุ่มคนในวรรณะเดียวกัน หรือครอบครัวเดียวกัน

๓.๕. ระบบกฏหมาย และการลงโทษ

            โทษหรืออาญานั้นในพระสูตรได้ทำเป็นขั้นเป็นตอนจากโทษเบาหรือลหุโทษ ก่อนแล้วเพิ่มเป็นโทษหนักขึ้น ๆ เป็นครุโทษตามลำดับ เมื่อมีการจับตัวผู้กระทำความผิดได้  ก็มีการลงโทษ  การจับคุมและการลงโทษในครั้งนั้นไม่มีกระบวนการที่ซับซ้อน แต่เป็นการจับและพิจารณาโดยชุมชนที่ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งมีลำดับถึง  ๓  ขั้นตอนด้วยกันคือ  ครั้งที่หนึ่ง ตักเตือน สั่งสอนกก่อน  ครั้งที่สอง  เรียกมาทำทัณฑ์บน  ครั้งที่สาม ลงทัณฑ์ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นมติของชุมชนที่ใช้ร่วมกันจึงเป็นการลงโทษตามความผิด  การลงโทษครั้งที่  ๑,๒  เป็นลหุโทษ  ส่วนครั้งที่  ๓  เป็นครุโทษที่มีความชัดเจนในวิธีการ

           “  แม้ครั้งที่  ๓  คนทั้งหลายได้จับเขาแล้วกล่าวว่า คุณ  คุณ

ทำกรรมชั่วที่รักษาส่วนตนไว้แล้วถือเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ให้

มาบริโภคคุณอย่าได้ทำอย่างนี้อีก  คนเหล่าอื่นใช้ฝ่ามือบ้าง 

ก้อนดินบ้าง  ท่อนไม้บ้างทำร้าย  วาเสฏฐะและภารทวาชะ

ในเพราะเรื่องนั้นเป็นเหตุ  การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขา

ไม่ได้ให้ปรากฏการครหาจึงปรากฏ  การพูดเท็จจึงปรากฏ 

การถือทัณฑาวุธจึงปรากฏ  ”  [14]

 

                ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ปรีชา  ช้างขวัญยืน  กล่าวว่ากฎหมายตรงนี้ไม่ชัดเจน กล่าวคืออัตตาทำให้เกิดการพิพาท  การลงโทษและความไม่เป็นธรรมคนจึงแก้ไขข้อบกพร่องนี้โดยการตัดอัตตา  วิธีหนึ่งก็คือหาความถูกต้องหรือธรรม  มาเป็นหลักข้อนี้จะเป็นที่มาของสถาบันที่สำคัญอีกสถาบันหนึ่งคือกฎหมาย ซึ่งจะทำให้รัฐเป็นรัฐที่สมบูรณ์แต่กฎหมายก็ยังไม่ปรากฏชัดเจนในตอนนี้  ยังคงต้องอาศัยความสามรถของบุคคลซึ่งส่วนรวมยอมรับคือมหาชนสมมต ซึ่งเป็นที่มาของสถาบันกษัตริย์หรือผู้ปกครองรัฐกระบวนการทางการเมืองซึ่งปรากฏในตอนนี้ก็คือการมีผู้ปกครองซึ่งมาจากการเลือกตั้ง   [15]

                รัฐศาสตร์ในอัคคัญสูตรนี้  ถือว่าเป็นสูตรที่ว่าด้วยการกำเนิดแห่งรัฐที่พระพุทธเจ้าทรงได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นและพัฒนาการ  จากสัตว์ผู้ประเสริฐจากอาภัสสรพรหมสู่สามัญด้วยกระบวนการของการกระทำที่ลองผิดลองถูกด้วยอำนาจของกิเลสในที่สุดก็พัฒนาเป็นบ้านเรือน  ชุมชน  เมือง  จนมีรูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชและที่สำคัญมีระบบกฎหมายและการลงโทษที่เหมาะสำหรับคนที่มีจำนวนน้อย  และพระสูตรนี้เองเป็นการลมล้างความเชื่อในระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์ที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าถึงพันปี.

 


[1] ที.ปา.  ๑๑ / ๑๒๗ / ๙๓.

[2] ที.ปา.  ๑๑ / ๑๒๘ / ๙๕.

[3] สุพัตรา  สุภาพ. ปัญหาสังคม. ( กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๓๕). หน้า  ๑.

[4] สิทธิพันธ์  พุทธหุน, รศ.  แนวการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่  ๓. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓).  หน้า  ๒๑.

[5] ส.  ศิวรักษ์. แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๓). หน้า  ๒๕.

[6] ที.ปา.  ๑๑ / ๑๓๐ / ๙๖.

[7]  ส. ศิวรักษ์.แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล  อ้างแล้ว หน้า  ๕๓.

[8] ทวี  ผลสมภพ, รศ.  ปัญหาปรัชญาในการเมืองของโลกตะวันออก. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๔), หน้า  ๖๓.

[9] ที.ปา. ๑๑ / ๑๓๐ / ๙๖.

[10] โกวิทย์  วงศ์สุรวัฒน์, รศ.ดร.  รัฐศาสตร์กับการเมือง.  (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,  ๒๕๓๔), หน้า ๓๐.

[11] รัชนีกร  บุญ-หลง.  ภูมิศาสตร์การเมือง.  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๐),หน้า  ๒๓–๒๔.

[12] ที. ปา. ๑๑ / ๑๓๑ / ๙๖–๙๗.

[13] สิทธิพันธ์  พุทธหุน. แนวการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่  ๓.  (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓). หน้า  ๖๕.

[14] ที.ปา.  ๑๑ / ๑๒๙ /  ๘๙.

[15] ปรีชา  ช้างขวัญยืน.  ทรรศนะทางการเมืองของพระพุทธศาสนา. ( กรุงเทพฯ  :  บริษัทสามัคคีสาส์น จำกัด, ๒๕๔๐).  หน้า  ๒๒.

หมายเลขบันทึก: 438507เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2011 07:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 15:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท