การซื้อเสียงเชิงนโยบาย


ภาษีทีผีกลัว

ผมจั่วหัวเรื่อง "การซื้อเสียงเชิงนโยบาย" ซึ่งไม่ค่อยมีใครเขาพูดประโยคนี้กันมากนัก

 ความจริง มันก็คือ "นโยบายประชานิยม" นั่นเอง

ประชานิยม ก็หมายถึง "ทำอย่างไรให้ประชาชนนิยม นโยบายพรรคของตน" จะลงคะแนนให้ เพื่อได้ชนะการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลกันต่อไป

ส่วนประเด็นที่ว่า "จะเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้บ้านเมืองแบบยั่งยืน" ไม่ต้องคำนึงถึงกัน

เนื่องจาก คนส่วนใหญ่ เห็นแก่ประโยชน์ของตน บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยปัญหาระยะยาว มองเห็นยาก ทั้งๆที่มีให้เห็นกันอยู่ เช่น

ปัญหาความยากจน,การศึกษาที่ไร้คุณภาพ,การคอร์รัปชั่นที่กลายเป็นสิ่งซึ่งคนไทยไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่ละอาย(โกงได้มากยิ่งดี ขอให้รวย) ,ความเสื่อมทรามทางศีลธรรม,ทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมทรุด  ความไม่เป็นธรรมในสังคม,ยาเสพติด,การค้าประเวณี,การบังคับใช้กฎหมายไร้ประสิทธิภาพ และปัญหาใหญ่คือความไม่สมดุลระหว่างคนรวย-กับคนจน  ฯลฯ ซึ่งหมายถึง

สังคมไทย มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากจนเกินไป จึงทำให้ก่อปัญหาทั้งมวล

คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง

-คนรวยจึงเอาเงินไปซื้อเสียง ซื้อปริญญา ซื้อตำแหน่ง ซื้อความยุติธรรม มีโอกาสคอร์รัปชั่น รวยยิ่งๆขึ้นไป แต่ขาดจิตสำนึกที่ดี

-คนจนก็ขายสิทธิ ขายเสียง ขาดการศึกษา ขายตัว ขายยาเสพติด เป็นมือปืนรับจ้าง ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ข่มขืน  ขาดโอกาสทางสังคม ขาดจิตสำนึกที่ดี

ที่ผมกล่าวมาข้างต้น มิได้ตำหนินโยบายประชานิยม เพราะนักการเมือง หวังชนะเลือกตั้งกันทั้งนั้น จึงใช้เงินโปรย หว่าน หวังคะแนนนิยม

เป็นรัฐบาล(ทุกรัฐบาล) ก็เอาเงินหลวงไปแจก ซื้อเสียงผ่าน "นโยบาย" จ่าย ลด แลก แจก แถม กันทั้งสิ้น เอาเถอะ..ไหนๆเรามันเป็นคนจน

แต่สิ่งที่ผมอยากเห็น และเคยเขียนบทความชื่อ "ภาษีที่ผีกลัว"(ลงพิมพ์ในมติชนรายวันและ มีโพสต์ในบล๊อกนี้) คือ....

การหารายได้เข้ารัฐ โดยการปฎิรูประบบภาษี นำเงินมาบริหารจัดการโดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ทั้งช่วยลดปัญหาข้างต้น ในนามของ

"ภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน และมรดก"

วันแรกๆ ที่รัฐบาลชุดนี้ (อภิสิทธิ์ ๑)เข้ารับตำแหน่ง ท่านรัฐมนตรีคลัง เคยพูด,คิด ที่จะแก้กฎหมาย เพื่อจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และเก็บภาษีมรดก เนื่องจากเป็นภาษีคนรวย และมรดกนั้นลูกหลานก็ได้มาฟรีๆ เอามาเจือภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งคนจน คนรวยก็จ่ายเท่าๆกันทุกคน (เผลอๆคนจนจ่ายมากกว่าสะอีก เพราะดื่มเหล้าขาว คนรวยดื่มไวน์หนีภาษี)

แต่จนถึงวันนี้ จะยุบสภาวันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้ว ผมยังไม่เห็นหน้าค่าตาของกฎหมายภาษีดังกล่าวเลย  เห็นแต่ นโยบายจ่ายๆ แจกๆผ่าน ครม.แบบทิ้งทวน

หรือว่าท่านไม่กล้าแตะต้อง ชนชั้นนำ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่ถือทรัพย์สินและที่ดินไว้เป็นจำนวนมากมากกว่าจนหลายเท่า

เอาเป็นว่า ท่านมีงานมาก ภัยธรรมชาติก็คุกคามประเทศ น้ำท่วมทุกภาค แจกครัวละ 5,000 บาท ขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ และจัดการขายเรื่องขายไข่ชั่งกิโล จึงมิมีเวลาดูแลเรื่องภาษีมรดกและที่ดิน

คนจนๆเช่นเรา เมื่อไปเข้าแถวรับเงินแจกกันแล้ว ก็ต้องเหนื่อย เมื่อยล้า

ท่านอาจคิดว่า คนเหนื่อย เมื่อย ล้า จน และโง่ดักดานอย่างพวกผม ต้องลืมทวงถามสิ่งที่ท่านเคยคิด เคยพูด เรื่องภาษีมรดก-ที่ดิน ที่ท่านเคยโม้ไว้แน่ๆ

หรือแม้จะทวงถาม ท่านก็คงเอาหูทวนลม เนื่องจาก

"คนรวยในเมืองไทย มีน้อย แต่เสียงดังมากกว่าคนจน นั่นเอง"

หรือใครว่าไม่จริง ลองไปถามท่านบรรหาร ฯ ท่านเทพเทือก รวมทั้งพลพรรคในรัฐบาลท่านดูซิว่า แต่ละคนมีที่ดินกันคนละกี่ร้อย กี่พันไร่ และทำมาหามาหากินอะไรมา จึงเป็นเศรษฐีกันรวดเร็วเช่นนั้น

ส่วนคนจนอย่างผม บอกท่านได้คำเดียวว่า

 "จะซื้อที่ดินสัก 50 ตารางวา เพื่อสร้างที่ซุกหัวนอน ต้องผ่อนกัน 20 ปี ครับพ้ม"

หมายเลขบันทึก: 438016เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2011 09:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

บันทึกโดนใจและถูกใจมากเลยค่ะ

โดยเฉพาะตรงที่ว่า"คนรวยมีน้อยแต่ เสียงดังกว่าคนจน"

ทุกวันนี้ยังคิดเลยว่าต่อไปคนจนจะอยู่จะกินกันอย่างไร

ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือคนเสียงดังกันทั้งนั้น....

ซื้อ 10 กว่าไร่ก็ได้ แถมไม่ต้องผ่อนนานเท่าใด

เสียด้วย แต่ว่า โน่น ชายแดนกัมพูชา อิอิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท