เมื่อวานได้ DVD หนังหลายเรื่องจากแผงลดราคา เป็นหนังเล็กๆ ที่ไม่ได้ฉายโรง
๒ เรื่องที่ดูรวดเดียวจบมีสาระมากมายอยู่ในนั้น จนอดไม่ได้ที่จะเจียดเวลามาเขียนบันทึก นั่นคือ Treeless Mountain กับ Cherry Blossoms
เรื่องแรก Treeless Mountain (ชื่อไทย “สองจิ๋ว หัวใจโต”)
เป็นหนังเกาหลี ชื่อเรื่อง กับภาพเด็กหญิง ๒ คนบนปก ดึงดูดความสนใจ ชวนให้ค้นหาว่าหนังต้องการบอกอะไรคนดู
เด็กหญิงสองคนกับแม่ในเมืองใหญ่ คนโตชื่อจิน อายุประมาณ ๗ ขวบ กับ บินคนเล็กอายุสัก ๔ ขวบ วันหนึ่งชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อแม่พานั่งรถไปฝากให้อยู่กับป้าที่นอกเมือง แม่ให้กระปุกหมูออมสินไว้ ๑ ใบบอกเพียงว่า “อยู่กับป้าชั่วคราวนะ เมื่อไหร่หนูทำตัวดี ป้าอาจให้เงิน เมื่อหนูหยอดกระปุกเต็มแม่จะกลับมารับ” เป็นเสมือนค่ำมั่นสัญญาที่มีความหมายยิ่ง
วันเวลาที่ยากลำบากผ่านไปด้วยความหวัง การหาเงินมาหยอดกระปุกจนเต็มดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับคนดูที่เฝ้ามองภาพชีวิตของพวกเธอ แต่เด็กหญิงมีวิธีน่ารักๆ หาเงินมาหยอดกระปุกหมูจนเต็มแล้วชวนกันวิ่งออกไปนั่งรอแม่ที่ป้ายรถเมล์....
วันแล้ววันเล่าผ่านไป ความหวังปิดฉากลงเมื่อป้าอ่านจดหมายให้ฟังว่า แม่ไม่อาจมารับลูกได้ ขอให้ป้าพาพวกเธอไปฝากไว้กับปู่ย่าที่ชนบท
ชีวิตต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง กับปู่อารมณ์ร้อนที่เคียดแค้นชิงชังลูกชายเกเรที่เป็นพ่อของเด็กทั้งสอง และย่าที่นิ่งสงบทว่าอ่อนโยน
เป็นบททดสอบชีวิตครั้งใหม่ของเด็กหญิง
หนังเรียบง่ายเหลือเกิน ทั้งบทพูดและภาพ ไม่บีบคั้นอารมณ์ (Melo Drama) จนน่ารำคาญ โครงเรื่องธรรมดาสามัญที่เจอได้ทุกวันในสังคมบ้านเรากระทบใจมาก เด็กๆ ที่เกิดจากพ่อแม่มีปัญหาถูกส่งจากในเมืองไปอยู่กับปู่ย่า ตายายในชนบท เผชิญความลำเค็ญตามยถากรรม ไร้อนาคต
การแสดงที่เป็นธรรมชาติมากของตัวแสดงเด็ก ๒ คน กับประโยคง่ายๆ ซื่อๆ “ย่าเอาไปซื้อรองเท้านะคะ” ขณะที่เธอส่งกระปุกหมูออมสิน ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดให้ย่า บีบคั้นอารมณ์และผ่อนคลายไปสู่ตอนจบของเรื่องได้ในเวลาเดียวกัน
สุดท้ายเด็กหญิงได้พบสิ่งที่พวกเธอแสวงหานั่นคือความรัก และสถานที่อันสุขสงบที่พวกเธอจะเติบโต
เรื่องที่สอง Cherry Blossoms (ชื่อไทย “ไม่มีวันที่ไม่รักเธอ”)
เชอรี่คือ ดอกซากุระ เป็นหนังสัญชาติเยอรมันที่ต้องการสื่อสารถึงประเทศญี่ปุ่น
เรื่องของสามีภรรยาสูงอายุที่ลูกชายหญิงแยกบ้านไปหมด วันหนึ่งแพทย์บอกแก่ทรูดี้ว่า รูดี้สามีของเธอเป็นโรคร้ายที่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน สิ่งที่เธอฝันมานานคือการไปเยี่ยมลูกชายคนเล็กที่ทำงานที่ญี่ปุ่น
เธอไม่บอกความจริงแก่สามีและลูกๆ แต่ตัดสินใจชวนสามีไปเยี่ยมลูกชายกับครอบครัว และลูกสาวที่เป็นทอมและอยู่กินกับสาวคู่รักในเมือง เธอหวังจะให้พ่อลูกได้ใกล้ชิดกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไป
ความจริงที่พบคือ ลูกๆ ทั้งสองมิได้ยินดีต้อนรับพ่อแม่ โดยอ้างงานที่ยุ่งเกินกว่าจะหาเวลามาพาพ่อแม่ออกไปข้างนอก การที่พ่อแม่มาอยู่ด้วยกลายเป็นภาระรบกวนชีวิตประจำวันอันแสนปกติสุขในเมืองใหญ่
ความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างพ่อผู้เอาใจยากกับลูกชายลูกสาวฉายภาพชัดขึ้นๆ แต่ยังมีแม่ผู้เข้มแข็งและเข้าถึงลูกๆ ทุกคนได้เป็นตัวเชื่อม
ชีวิตของรูดี้เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่รู้ใจที่สุดจากไปก่อนเขาในคืนวันหนึ่งขณะที่พักอยู่กับลูกชาย เร็วเกินที่จะคาดคิดและทำใจ
ลูกชายที่อยู่ญี่ปุ่นบินมางานศพแม่กล่าวประโยคที่กระทบหัวใจลูกๆ ทุกคนที่ไม่เคย “ทำดี” กับพ่อแม่ยามมีชีวิตอยู่ นั่นคือ “ผมน่าจะทำอะไรให้แม่ได้มากกว่านี้”
สิ่งนั้นคือ ความใฝ่ในของแม่ที่จะไปไปเยี่ยมลูกชายคนเล็กที่รักมากที่สุดที่ญี่ปุ่น แต่ตลอดเวลา ๕ ปีที่เขาทำงานที่นั่น แม่ไม่เคยมีโอกาสไปเยือนประเทศที่แม่อยากไปที่สุดในชีวิต
ลูกชายพาพ่อกลับไปญี่ปุ่น รูดี้จัดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าของภรรยาติดตัวไปด้วย
ชีวิตที่แสนเหงายามขาดคู่ชีวิตของรูดี้ ในอพาร์ตเม้นท์ขนาดเล็กกลางเมืองของลูกชาย พาให้เขาไปรู้จัก “ยุ” เด็กสาวไร้บ้านชาวญี่ปุ่นอายุแค่ ๑๘ ปี รูดี้เจอยุร่ายรำแบบญี่ปุ่นเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพในสวนสาธารณะ คนทั้งคู่สานความสัมพันธ์ผ่านวัฒนธรรมการร่ายรำ
รูดี้กับยุช่วยกันสานความฝันของทรูดี้โดยการพากันไปเฝ้ารอวันฟ้าเปิด ณ โรงแรมเล็กๆ ในเมืองที่คนไปพักรอเฝ้าชมโฉมอันงดงามของภูเขาฟูจิ
คืนวันที่รอคอยมาถึง รูดี้สวมเสื้อตัวรักของภรรยา ออกเดินเพียงลำพังไปยังจุดที่มองเห็นความงามของฟูจิได้แจ่มชัดที่สุด เป็นวันสุดท้ายที่เขาได้นำพาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากมาถึงดินแดนในความใฝ่ฝันของเธอ
รูดี้จากไปในวันนั้น….เป็นวันที่เขาได้ค้นพบความหมายสำคัญคือ การได้ทำเพื่อคนที่รัก และการได้พบความสุข สงบอันนิรันดร์
หนังสื่อสารด้วยบทพูดที่ฟุ่มเฟือยกว่าเรื่องแรก แต่ไม่มากจนน่ารำคาญ สะท้อนความรักความผูกพันระหว่างสามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างยาวนาน มิตรภาพไร้พรมแดนระหว่างชายแก่ผู้หงอยเหงากับเด็กหญิงยากไร้ที่จิตใจงาม และความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นระหว่างพ่อแม่กับลูกวัยสร้างเนื้อสร้างตัว
ภาพความไม่ลงตัวในความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกกระทบใจฉันที่เป็นคนดูในวัยที่ใกล้เวลาลูกจากอกไปไกล เราไม่อาจหยั่งคิดได้ว่า เมื่อถึงยามที่พ่อแม่แก่เฒ่า เราจะเป็นที่ยินดีต้อนรับจากลูกๆ หลานๆ เพียงไร
พ่อแม่อาจจำเป็นต้องใคร่ครวญสถานะและความสัมพันธ์ให้พอเหมาะพอดีครั้งใหญ่
หนังดีสองเรื่องนี้ ได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน แต่มันไม่มีความสำคัญอะไรมากไปกว่าสาระที่หนังทั้งสองเรื่องสื่อสารสิ่งเดียวกัน นั่นคือ การแสวงหาและค้นพบความสุขสงบของมนุษย์.
อาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔
สักวันอาจพบความสุขสงบตามที่หวังบ้างนะครับ
ผมกลับคิดลึกไปถึง การเรียนของเด็กๆ ที่ทั้งสองคนไม่ได้เรียน ถึงแม้ปรับตัวได้แล้วอนาคตเด็กๆจะเป็นอย่างไร. อยากให้พ่อแม่ไวไฟในสังคมเราได้ดูจังเลย
ขอบคุณค่ะ คุณ kittisak ที่เพิ่มความเห็น
ดิฉันเห็นด้วยกับคุณนะคะ หนังทุกเรื่องมีสาระให้เราค้นหาเสมอ ความสุขจากการดู "หนังดีๆ" อยู่ตรงนี้แหละค่ะ
จากประสบการณ์ดูหนังมายาวนานมากๆ บอกได้ว่า ช่วงวัยของคนดูมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับสาระที่เราได้รับจากหนังด้วยค่ะ
หนังเรื่องเดียวกัน คนดูต่างวัยกัน สรุปสาระที่ได้ต่างกันค่ะ
กลับมาอ่านบันทึกตัวเองและความเห็นของคุณ ทำให้อยากกลับไปดูหนีงดีเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่นุ้ย