มาร่วมสร้างประชาคมการสอนภาษาไทยให้มีหลักการ มีทฤษฎีและมีชีวิต
เฉลิมลาภ ทองอาจ
ภาคการศึกษาหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา...หลังจากเสียงขีดข่วนบนกระดานเงียบไป ดูเหมือนผมจะอ่านข้อความหลังจากที่มือของครูบรรจงประดิษฐ์อักษรได้ว่า “ภาษาไทยคือเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติ” เมื่อตอนที่ยังไม่ประสีประสาและเป็นนักเรียนที่เรียนอ่านเขียนภาษาไทยเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ ผมไม่มีข้อสงสัยกับข้อความนี้ และออกจะหลงเพ้อไปว่า ภาษาของเราเป็นสิ่งที่สูงส่งและดูศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร
หลายปีผ่านไป ผมยังคงศรัทธาในความ “สูงส่ง” ของภาษาแรกของชีวิต แต่ความสูงส่งดังกล่าวไม่ได้อยู่ในมิติเดิมอีกต่อไป สำหรับใครหลายคนที่ถูกปลูกฝังมาเช่นเดียวกับผม ย่อมจะต้องเห็นว่าภาษาไทยนั้นเป็นเหมือนกับศาสตร์ของ “ปัญญาชน” เพราะประกอบไปด้วยไวยากรณ์ที่มีรายละเอียดมากมากมาย และไหนจะมีวรรณคดีมรดก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ศัพท์แสงที่มีรากเหง้าจากต่างประเทศ และแปลได้ยากยิ่งสำหรับคนในศตวรรษที่ 21 ผู้ที่ชำนาญและเชี่ยวชาญภาษาไทยในสายตาของผมนั้น จึงมีลักษณะใกล้กับนักบวชผู้คงแก่เรียนเข้าไปทุกที ผู้หนึ่งผู้นั้นน่าจะเป็นผู้แตกฉานในคัมภีร์ หรือผู้ที่สามารถใช้ภาษาในการประพันธ์หรือเสกสร้างวรรณกรรมชั้นสูงได้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผู้ใช้ภาษาไทยได้อย่างแตกฉานและงดงามนั้น มิใช่คนที่หาได้ตามท้องตลาดหรือร้านช่องโดยทั่วไป ผมเชื่อว่ามุมมองที่ว่า “ภาษาไทยเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องที่ศึกษาและเข้าถึงได้ยาก” มิได้เกิดกับผมเท่านั้น แต่ยังเกิดกับนักเรียนน้อยๆ ที่น่ารักของเราอีกด้วย
ที่จริงแล้วมิติของความสูงส่งดังกล่าวมิได้มีอิทธิพลที่สลักสำคัญอย่างใดนัก หากไม่ได้ถูกบีบบังคับจากปรัชญาและวิธีการสอนของครูภาษาไทยส่วนหนึ่ง ก็เมื่อครูเชื่อว่าภาษาเป็นมรดก ภาษามีค่าและเป็นสิ่งอันสูงส่ง ศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่ของนักเรียนจึงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการสืบทอดและบูชา ที่ร้ายกว่านั้นคือ ได้มีความพยายามที่จะสร้างกรอบแนวคิดว่า ครูภาษาไทยจะต้องมีหน้าเป็นผู้ส่งผ่านวัฒนธรรม ซึ่งหากจะเปรียบเทียบก็คงจะไม่ต่างจากทนายผู้หยิบยื่นมรดกให้แก่ทายาทที่พลัดหลง หรือร่างทรงผู้สืบสานเจตนาฟ้าดินให้แก่คนรุ่นต่อไป ผลก็คือเราจะไม่ตั้งคำถามว่าเราสอนภาษาไทยไปเพื่ออะไร สิ่งที่เราสอนอยู่เป็นเป้าหมายจริงๆ ของการสอนภาษาไทยหรือไม่ และสิ่งที่เราสอนในวิชาภาษาไทยนั้นควรจะเป็นอะไรกันแน่ ผลของการไม่ตั้งคำถามก็คือการไม่สร้างความรู้ เพราะเราไปทึกทักเองว่าความรู้มีอยู่แล้ว และการเรียนรู้ภาษาไทยคือการเรียนรู้ “ความรู้” เกี่ยวกับภาษา ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงดังเช่น เสาศิลาจารึกในปราสาทอันผุพัง ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่เป็นครูภาษาไทย เราจะเกิดความอัดอั้นและ “ตีบตัน” ใจทุกครั้งที่เราสอนหนังสือตามหลักสูตรแล้วนักเรียนถามว่า “เรียนเรื่องนี้ไปทำไม” “เรียนไปไม่ได้ใช้” “เรียนแล้วจะเอาไปแก้ไขอะไรหรือทำอะไรได้” ครูภาษาไทยหลายคนพยายามที่จะหาหนทางออกจากความรู้สึกอันตีบตันนี้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” ผมจึงมักจะได้ยินคำตอบว่า “เพราะเป็นคนไทยจึงต้องเรียนรู้” “เพื่อให้เธอใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง” “เพื่อให้ซึมซับจิตวิญญาณและภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษ” คำตอบดังกล่าวทำให้ผมไม่แปลกใจว่า สิ่งที่ผมเคยเรียนในวิชาภาษาไทยเมื่อตอนเป็นนักเรียนมัธยมนั้น บัดนี้ผมเองได้สอนสิ่งเดียวกันนั้นแก่นักเรียนของผม ทั้งที่ผมและนักเรียนของผมต่างกันทั้งในด้านความคิด ภูมิหลังและประสบการณ์ สังคมไทยในสมัยผมกับสังคมที่นักเรียนของผมดำรงอยู่ก็น่าจะต่างกันมากเมื่อพิจารณาประเด็นนี้ให้ลึกลงไปแล้วผมจึงได้สรุปว่า การพยายามให้เหตุผลของครูในลักษณะดังกล่าวมา เป็นการให้ความสำคัญกับภาษามากกว่าการพัฒนาความเข้าใจหรือการ “ตื่นรู้” ในตนเองของผู้เรียน การรื้อสร้าง (reconstruction) ในหลักสูตรและการสอนภาษาไทยจึงยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีการลั่นละครเบิกโรงของการปฏิรูปการศึกษาของภาครัฐก็ตาม ดังนั้น ผมจึงอยากจะเรียกร้องให้ครูภาษาไทย นักหลักสูตรและการสอนภาษาไทยหันกลับมาค้นหา “ค้นคุณค่า” และ “สร้างความหมายใหม่” ในการออกแบบหลักสูตรและการสอนของตนเอง ด้วยการไม่ยึด “องค์ความรู้” เป็นที่ตั้ง แต่จงยึด “กระบวนการสร้างความหมายใหม่ๆ” ของผู้เรียน ดังที่กฤษณมูรติ (แปลโดย นวลคำ จันภา, 2548: 31) นักปราชญ์ คนสำคัญได้กล่าวไว้ว่า
“การศึกษาควรที่จะเสริมสร้างค่านิยมใหม่ๆ ถ้าเพียงแต่ปลูกฝังค่านิยมที่ยึดกันอยู่แล้วให้ซึมลงไปในจิตใจของเด็ก ทำให้เด็กปฏิบัติตามแบบอย่างต่างๆ สืบไป ก็เท่ากับกำกับจิตเขาโดยไม่ได้ปลุกเร้าให้เขาเกิดสติปัญญาเลย การศึกษานี้แหล่ะมีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวิกฤตการณ์โลกที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ นักการศึกษาหรือครูที่ตระหนักดีถึงเหตุแห่งความวุ่นวายต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ควรตั้งคำถามตัวเองได้แล้วว่า จะปลุกเร้าให้ศิษย์เกิดสติปัญญาอย่างไร อนุชน รุ่นหลังจึงจะไม่สามารถสร้างความขัดแย้งและหายนะให้สังคมต่อไปอีก”
|
สุนทรกถาข้างต้นเป็นความจริงและเป็นช่องทางเดียวที่เราจะพ้นไปจากความตีบตันของการสอนภาษาไทยแนวอนุรักษ์นิยมสุดขั้วไปได้ เราต้องเยียวยาการสอนภาษาไทยในฐานะ “สิ่งที่มีชีวิต” มิใช่ “สิ่งที่ตายไปแล้ว” และเช่นกัน เราต้องสอนภาษาไทยในฐานะที่เป็น “สิ่งที่มีชีวิต” หาใช่สิ่งที่ไร้วิญญาณไม่ และการสอนที่มีชีวิตนั้นก็คือการสอนที่เกิดขึ้นจากภายในของผู้เรียน หลักสูตรควรออกแบบโดยอาศัยความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นฐาน เนื้อหาและประสบการณ์ควรมาจากชีวิตประจำวันที่ผู้เรียนได้สัมผัสจับต้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ข่าว บทความวิชาการ บทความปรัชญา วรรณกรรมปัจจุบัน รวมทั้ง กาพย์กลอนแห่งความคิดควรจะได้มีการนำมาวิพากษ์และไตร่ตรองในชั้นเรียนภาษาไทย ชั่วโมงวรรณคดี ควรเน้นไปที่การตอบสนองและการวิพากษ์ของผู้เรียน ที่ปราศจากกรอบของประเพณีที่คัดเคร่ง ตัวอย่างของกาพย์กลอนแห่งความคิด เช่น กวีนิพนธ์ “ต้านพายุ” ของคมทวน คันธนู (2546: 13-14) ที่ว่า
“ไม่มีดอกเทวดาบนฟ้านี้ ป่วยการหมายบารมีมายึดถือ
มีแต่ตัวมีแต่ตีนมีแต่มือ ที่จะลงที่จะรื้อที่จะทำ
ทุกทุกย่านหย่อมหญ้าที่ย่างเหยียบ ใช่ปูพรมราบเรียบให้เหยียบย่ำ
ล้วนหนามคมหินแข็งคอยแทงตำ ทั้งผงฝุ่นหมุนคล่ำกระหน่ำวน”
(นาฏกรรมบนลานกว้าง)
ประโยชน์อะไรที่จะสอนว่า กลอนข้างต้นมีความงามและโดดเด่นในด้านการใช้สัมผัสพยัญชนะเสียง /ย/ ในวรรค “ย่านหย่อมหญ้าที่ย่างเหยียบ” คุณค่าอะไรที่จะเราสอนว่ามีการซ้ำคำว่า “ทุกทุก” แล้วนำไปกำหนดคำถามในการสอบประจำภาคที่ไม่สามารถวัดค่าความเป็นมนุษย์ว่า “วรรคใดมีการซ้ำคำ” หรือ “วรรคใดมีเสียงสัมผัสพยัญชนะมากที่สุด” คำถามดังกล่าวคือกลิ่นอายและเครื่องหมายของความตีบตันที่ผมกล่าวถึง ไม่ควรหรือที่เราจะเปลี่ยนคำถามว่า “กวีนิพนธ์ดังกล่าวต้องการจะบอกสิ่งใด” “อะไรคือความคิดที่เกิดขึ้นจากการอ่าน” “กวีนิพนธ์บทนี้คุณค่าอยู่ที่ใด” “ชีวิตของนักเรียนสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ในกวีนิพนธ์นี้อย่างไร” “ความสุขเกิดจากความทุกข์นั้นมีจริงหรือไม่” “เราจะมีสุขโดยไม่ต้องผ่านความทุกข์ได้อย่างนั้นหรือ” “ทำอย่างไรเราจึงเชื่อมั่นในคุณค่าของความเป็นมนุษย์” และ “จริงๆ แล้วเราเชื่อว่ามนุษย์ที่มีสองมือนี้พึ่งตนเองได้จริงหรือไม่” จะเห็นว่าหากการสอนของเราเปลี่ยนไปเช่นนี้ กวีนิพนธ์จะเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าในการปลูกปั้นสติปัญญาและสามารถทำให้ผู้เรียนสืบค้นลงไปในห้วงคำนึงของตนเอง ศักยภาพที่พัฒนาของผู้เรียนจึงเป็นผลมาจากการออกเดินทางดั้นด้นเพื่อแสวงหาตัวตนภายใน จากเข็มทิศและแผนที่ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง หาใช่การเสพความงามของวัตถุระหว่างทางอันผิวเผิน เช่นนักเดินทางผู้มีมัคคุเทศก์ฝึกหัดคอยบอกกล่าวไม่ การออกแบบหลักสูตรและการสอนที่พัฒนากระบวนการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่จะทำลายความตีบตันของการสอนภาษาไทย ดังที่ Kelly (1999: 78) นักหลักสูตรได้กล่าวไว้สรุปได้ว่า กระบวนการเรียนรู้นั้นหาได้เป็นสิ่งที่สิ้นสุดในตนเอง แต่เป็นสิ่งที่มีพลวัตต่อเนื่อง และมโนทัศน์ใหม่ของการเรียนรู้คือการพัฒนาความเข้าใจ (development of understanding) มากกว่าที่จะเน้นเรื่องการได้มาซึ่งความรู้ (acquisition of knowledge)
ครูภาษาไทยและนักหลักสูตรและการสอนจึงควรจะต้องเริ่มตั้งคำถามว่า อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของการสอนภาษาไทย เราสอนภาษาไทยเพียงเพื่อให้นักเรียนสื่อสารได้ดีและทำได้เช่นสื่อมวลชนในสำนักข่าวอันมีชื่อเสียงแค่นั้นหรือไม่ อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าและเอื้อต่อการสร้างความหมายให้แก่ชีวิตของผู้เรียน เนื้อหาและทักษะทางภาษาไทยอะไรหรือกระบวนการเรียนการสอนอะไร ที่จะส่งเสริมให้เกิดการสร้างความรู้ที่เกี่ยวกับชีวิตและการดำรงตนอยู่ในโลก น่าเสียดายว่าคำถามเหล่านี้ไม่เคยได้รับการพิจารณาหรือครุ่นคิดอย่างรอบคอบจากผู้สร้างหลักสูตร หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยใดในประเทศ ผมจึงฝากความหวังเดียวไว้กับครูภาษาไทยในฐานะผู้ใช้หลักสูตร ว่าครูนั้นเองที่จะต้องเป็นผู้วิจัยหรือศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจผู้เรียน ให้มากขึ้น เพื่อที่จะนำไปจัดเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนภาษาไทยที่มีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริงได้ ผมมีความฝันว่านักเรียนของเราจะต้องไม่มีฐานะเป็นธนาคารที่ถูกยัดเยียดความรู้ ที่ไม่สามารถสร้างดอกเบี้ยอะไรได้ แต่พวกเขาจะต้องเป็นแปลงดินอันอุดมไปด้วยเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา ที่พร้อมจะงอกงามและผลิดอกและงอกผลแห่งจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
วันเปิดภาคการศึกษาที่จะมาถึง...ผมตั้งใจที่จะไม่ขีดเขียนอะไรบนกระดานดำให้มากนัก แต่จะให้นักเรียนของผมออกไปเขียนและสอนผมให้รู้เสียทีว่า ภาษาไทยที่เขาสามารถจะใกล้ชิดและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้นั้น มีหน้าตาเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าชั่วโมงเรียนนั้นคงจะสนุกและทำให้ผมตื่นตาและ “ปิติใจ” ได้ไม่น้อย
______________________________
รายการอ้างอิง
กฤษณามูรติ. นวลคำ จันภา (ผู้แปล). การศึกษาและสาระสำคัญของชีวิต. กรุงเทพฯ: มูลนิธิอันวีกฤษณา.
คมทวน คันธนู (นามปากกา). 2546. นาฏกรรมบนลานกว้าง. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสถาบัน วิชาการ 14 ตุลา.
Kelly, A. V. 1999. The curriculum: Theory and practice. 4ed. London: Paul Chapman.
การนำส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความนี้ไปเผยแพร่หรือดำเนินการใดๆ ควรดำเนินการตามหลักวิชาการ จรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์