วันที่ ๑๓ มี.ค. ๕๔ มีการประชุมประจำปีของมูลนิธิพูนพลัง ผมอ่านรายงานประจำปี แล้วเข้าไปอ่านบันทึกนี้ ก็เกิดปิติสุข ว่ามูลนิธิเล็กๆ นี้ได้ช่วยเกื้อกูลและเป็นกำลังใจให้เพื่อนมนุษย์ที่ยากลำบากจำนวนหนึ่ง ได้ฟันฝ่าชีวิตจนได้รับการศึกษาดี มีงานที่ดีทำ อ่านแล้วเกิดความสุขใจอย่างยิ่ง
เราคุยกันว่า จริงๆ แล้วมูลนิธิพูนพลัง เป็นหนึ่งในองค์กรเพื่อการพัฒนาเยาวชน มูลนิธิพูนพลังจึงเป็นภาคีเครือข่ายตามธรรมชาติ ของเครือข่ายพูนพลังเยาวชน ที่มูลนิธิสยามกัมมาจลทำหน้าที่เชื่อมโยงเครือข่ายอยู่ ผมจึงแนะนำให้เลขา ติดต่อคุณเปา ว่ามูลนิธิพูนพลังจะมีโอกาสนำเอาเยาวชนที่มูลนิธิสนับสนุน มาร่วมงานมหกรรมพลังเยาวชน ได้อย่างไร เพราะทางมูลนิธิพูนพลังมีเยาวชนที่เป็นชนเผ่า และมีเยาวชนที่เป็นศิลปินนักวาดภาพ
วาระที่ใช้เวลามาก คือการตัดสินทุนระดับอาชีวะและอุดมศึกษา ซึ่งเราเคยมีมติว่าให้เน้นให้น้ำหนักแก่ระดับอาชีวะมากกว่า เพราะเด็กที่ขัดสนควรเน้นเรียนออกมาทำงาน ไม่ใช่เน้นเอาปริญญา ทำงานแล้วค่อยเรียนเอาปริญญาทีหลังก็ได้
เลขา ลงทุนเดินทางไปเยี่ยมเด็กที่ขอทุนและอยู่ใน short list จำนวน ๑๒ คน ด้วยตนเอง เด็กเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่เลขาเขาชอบไปในที่เหล่านั้น ผมถามว่าไปนอนที่ไหน เขาตอบว่านอนที่บ้านของเด็กเอง ยกเว้นบ้านเดียวที่เขาไม่ให้นอน เพราะบ้านของเขาแคบเกินไป ผมคิดว่าเลขาซึ่งอายุ ๓๗ แล้ว รู้จักชนบทไทย และชีวิตของเด็กยากจนในชนบท ดีที่สุดคนหนึ่ง และผมนับถือเขา ที่มี empathy ต่อคนยากลำบากเหล่านี้ แต่ไม่ถลำเข้าไปมี sympathy ซึ่งจะทำให้แบกรับความทุกข์เข้ามาสู่ตน
ลงท้ายเราลงมติว่า แม้จะมีเป้าหมายให้ทุน ๓ – ๖ ทุน แต่เนื่องจากพอมีเงิน จึงตัดสินให้ทุน ๙ คน
เป็นการทำงานเล็กๆ เพื่อเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้มีการศึกษาไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม และเราหวังว่า เด็กเหล่านี้จะสำเร็จการศึกษาออกมาทำประโยชน์ให้แก่ชุมชนของเขา และแก่บ้านเมือง
วิจารณ์ พานิช
๑๓ มี.ค. ๕๔
บรรยากาศการประชุม
ไม่มีความเห็น