เห็นพระพักตร์เพียงเสี้ยว
เจ้าก็เที่ยว อุตริ ว่าจิตสูง
เปรียบถือศีล เพียงปาก เที่ยวลากจูง
ต่างหมายมุ่ง อวดตน คนธัมโม
...............................
เที่ยวถือศีล ตามแหล่ง ศรัทธาใหญ่
ดั้นด้นไป แสวงหา ศรัทธาโข
ประชาสัมพันธ์ เกณฑ์กันไป ดูใหญ่โต
อยากคุยโว จิตเคยผ่าน การอบรม
...............................
แต่นิสัย หาใช่เปลี่ยน ปฏิบัติ
ธรรมะจัด เกินไป ไม่เหมาะสม
แบ่งชนชั้น เอาแต่ได้ ไร้คำชม
ร่วมผสม ติเตียนคน จนอ่อนใจ
...............................
อยากเห็นพระ เต็มองค์ จงตั้งจิต
ศรัทธาจริต ครอบงำ ทำอ่อนไหว
เหตุยึดมั่น ถือมั่น มากเกินไป
วอนจงใช้ กาลามสูตร ฉุดปัญญา
...............................
จงอย่านำ ความเชื่อ เหนือเหตุผล
ยึดมั่นตน ระคนคิด ฝังจิตหนา
ว่าตนดี ตนประเสริฐ ไม่นำพา
ทำปัญญา ลดน้อย ด้อยถอยพลัน
...............................
อันธรรมะ ปฏิบัติ ขัดเกลาจิต
ปรับความคิด มิหลงทาง ระเหหัน
มีเมตตา กรุณา มุทิตากัน
อุเบกขานั้น ส่งผลให้ ใจสบาย
...............................
เพียงเท่านี้ ชีวื ปรีดิ์เปรมสุข
ธรรมะยุค ปัจจุบัน นั้นหาง่าย
ไม่ต้องเสาะ แสวงหา เสียวุ่นวาย
แค่ฝึกหาย ใจออกเข้า เรารู้ธรรม
...............................
การแสวงหาธรรมะ ของแต่ละคนย่อมมีวิธีและกระบวนการที่แตกต่างกันตามความชอบและถนัด
หลายท่านโชคดีที่ได้มีโอกาสได้สัมผัสได้ใกล้ชิดกับบุคคลและสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
ขอให้ท่านเก็บเกี่ยว ธรรมะ จากความโชคดีเหนือคนอื่นตามความเข้าใจของท่านนั้นมาให้มากที่สุด
แต่สำหรับผม ธรรมะ ที่ว่านั้นคงไม่ได้ขึ้นกับสถานที่หรือการได้ชิดใกล้บุคคลที่ถึงพร้อมด้วยธรรมะ
แต่กลับเป็นใจของท่านเองที่จะยอมรับและน้อมนำธรรมะนั้นสู่การปฏิบัติตนและใจ เพื่อเข้าใจสรรพสิ่งทั้งในกายและรอบกาย
คงเท่ากับว่า ธรรมมะ นั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล
ธรรมะไซ้แค่ลมหายใจเข้าออก
หากลมหายใจเข้า คือการรับรู้และเข้าใจธรรมะ
ลมหายใจออก คงไม่ต่างจากการปฏิบัติตนเพื่อแสดงออกถึงการเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมะ
ดังนั้น การดำรงของผู้ได้ชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรม คงไม่ได้วัดที่สถานที่ปฏิบัติ
แต่กลับเป็นการประพฤติตน ทั้งกาย วาจา ใจ ของตัวท่านนั่นเอง
เทียนส่องแสง ๑๘ มีนาคม ๕๔
สาธุ ค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากการฝึกฝนและมั่นปฏิบัติ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดน่ะค่ะ