ข้อความข้างต้นเป็นตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งของการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม ด้านการอาชีวศึกษา การประเมินคุณภาพภายนอกจะเน้นที่การประเมินผลการจัดการศึกษา ในขณะที่การประกันคุณภาพภายในต้องดูแลทั้งปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลผลิตหรือผลลัพธ์
คำอธิบาย
ตัวบ่งชี้
ผลการดำเนินงานของสถานศึกษาในการจัดการเรียนรู้และการฝึกทักษะของผู้เรียน
โดยความร่วมมือของสถานประกอบการ
หน่วยงาน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เน้นการฝึกปฏิบัติจริงทั้งในสถานศึกษาและสถานประกอบการเพื่อเพิ่มเพิ่มทักษะทุกด้านในสาขาวิชาชีพนั้น
ๆ
จากการประสานความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคธุรกิจ
อุตสาหกรรมหรือภาคชุมชน
ตลอดจนหน่วยงานภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ1
คำอธิบายตัวบ่งชี้นี้ แรกเห็นก็นั่งพิจารณาว่า
ทำได้ง่ายเพราะ การฝึกงาน2
ซึ่งในโครงสร้างของหลักสูตรในระดับ ปวช. และ ปวส. กำหนดไว้ (รายวิชา
ฝึกงาน ปวช. 2000-7001 ปวส.
3000-7001 )3
ก็เป็นความร่วมมือของสถานประกอบการกับสถานศึกษาซึ่งปฏิบัติกันมาต่อเนื่องและเนิ่นนานแล้ว
แต่เมื่ออ่าน “นิยาม”
การเรียนรู้จากประสบการณ์ (ชื่อตัวบ่งชี้) ระบุชัดเจนว่า
ไม่นับรวมการฝึกงานตามหลักสูตร
ดังนั้น การฝึกงานตามที่นึกถึงตอนแรก ก็ไม่เข้าประเด็นนี้
ทำนองเดียวกัน เมื่อมาถึงประเด็นการพิจารณา
ทั้งสามข้อ คือ
1. แต่ละสาขางานมีจำนวนผู้เรียนที่ได้เรียนโดยระบบความร่วมมือฯ
ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของผู้เรียนทั้งหมด
2. แต่ละสาขางานมีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยของผู้เรียนที่ได้เรียน
โดยระบบความร่วมมือฯ ไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงต่อปี สำหรับระดับ ปวช.
และไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงต่อปี สำหรับประดับ ปวส.
3.
แต่ละสาขางานดำเนินการให้ผู้เรียนที่เรียนโดยระบบความร่วมมือฯ
ทุกคนได้รับการนิเทศจากครูฝึกในสถานประกอบการ
ทั้งสามข้อเป็นหัวข้อที่ต้องนำมาพิจารณาและต้องให้ครบทุกรายการ
ข้อที่ 3 เห็นถึงความชัดเจนในเรื่อง
ที่นักเรียน/นักศึกษาจะต้องฝึกในสถานประกอบการ ตอกย้ำใน “ข้อมูลประกอบการพิจารณา”
ได้แก่ ข้อ 1 จำนวนสาขางานที่เปิดสอน ข้อ
2รายงานผลการฝึกประสบการณ์
พร้อมทั้งผลการประเมินการฝึกประสบการณ์ที่ประเมินโดยครูนิทศจากสถานประกอบการ
และข้อ 3
สัญญาความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการฯ
โดยเฉพาะรายละเอียดข้อ 2 และข้อ 3
ดังนั้น การจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
(ตัวบ่งชี้) ผลจากข้อนี้ นั้นก็คือ สถานศึกษาได้ดำเนินการ
การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี หรือ ดีวีที (Dual System)
เรื่องเก่าดั้งเดิมของเรานั้นเอง เพราะ ระบบทวิภาคีเป็นการนำรายวิชาที่สถานศึกษากับสถานประกอบการร่วมกันกำหนดขึ้นมา
ไม่นับรวมการฝึกงานที่ระบบทวิภาคีก็มีเช่นกัน
จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยทั้งระดับ ปวช.และปวส. (ไม่น้อยกว่า 20
ชั่วโมงและ 10 ชั่วโมงต่อปีตามลำดับ)
ซึ่งทวิภาคีมีจำนวนชั่วโมงเกินกว่าที่กำหนด ได้รับการนิเทศจากครูฝึก
เนื่องจากฝึกอาชีพและประเมินจากสถานประกอบการ รายงานผลการฝึกฯ
ผลการประเมินการฝึก
โดยผู้ควบคุมการฝึกหรือครูฝึก และท้ายสุดสัญญาความร่วมมืออย่างเป็นทางการฯ
ผู้เรียนทวิภาคีจะต้องทำสัญญาการฝึกตามระเบียบฯ4
กำหนด
ตัวบ่งชี้นี้จะสอดคล้องกับหลักการของหลักสูตร5
ข้อที่ระบุไว้ว่า มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ
มีความรู้เต็มภูมิ ปฏิบัติได้จริง
ทั้งเป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการวิชาชีพมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนวิชาชีพ
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติสถานศึกษาหลายแห่ง
ยังมีข้อจำกัดไม่สามารถจัดการระบบทวิภาคีได้ในทุกสาขางาน จะด้วยความไม่ชัดเจนในระเบียบการจัด
ซึ่งผู้อยู่ในแวดวงอาชีวศึกษารู้กันดีว่า ระบบนี้มีมาตั้งแต่ พ.ศ.
2538 ข้อจำกัดในเรื่องสถานประกอบการ
ในท้องที่หรือจังหวัดใกล้เคียง
ความยุ่งยากและขั้นตอนในการประสานงานกับสถานประกอบการ
จำนวนบุคลากรที่รับผิดชอบงานทวิภาคีร่วมกันหรือการรับรู้ของบุคลากรที่พึ่งเริ่มปฏิบัติงานกับ
สอศ. หรือประเด็นปัญหาอื่น ๆ ฉะนั้น
แนวทางในการรายงานตัวบ่งชี้นี้มีวิธีการอื่นหรือไม่อย่างไร
ย้อนหลัง หลักสูตรปวช. และ ปวส. ในระยะเริ่มแรกที่ประกาศใช้
ได้ระบุ ให้สถานศึกษานำรายวิชาในหมวดวิชาชีพไปจัดการเรียนการสอน/การฝึกในสถานประกอบการ
อย่างน้อย 1 ภาคเรียน
หากสถานศึกษาใดที่ได้ดำเนินการนำรายวิชาและรายวิชาการฝึกงาน
ไปปฏิบัติก็สามารถรายงานผลการดำเนินการตัวบ่งชี้นี้ได้บางส่วน
โดยสิ่งที่ต้องดำเนินการย้ำเตือนหรือเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับสถานประกอบการ
ก็คือ ผลการนิเทศจากครูฝึก
รายงานผลการฝึก การประเมินผลการฝึก
และที่ต้องทำเพิ่มเติมได้แก่ สัญญาความร่วมมืออย่างเป็นทางการ
สำหรับสถานประกอบการที่จัดระบบทวิภาคีและรับนักเรียน/นักศึกษาฝึกงาน
ก็น่าจะใช้เอกสารร่วมกันได้
สำหรับสถานศึกษา ที่ไม่ได้จัดระบบทวิภาคี หรือ
จัดฝึกงานเฉพาะใช้รายวิชาฝึกงานอย่างเดียว (ปวช. 2000-7001 ปวส.
3000-7001) ต้องจัดเตรียมแผนการเรียนและแผนการฝึกอาชีพสำหรับปีการศึกษาใหม่หรือปรับแผนการเรียนในภาคเรียนต่อไป เพื่อรองรับการประเมินคุณภาพฯ
สำหรับตัวบ่งชี้นี้ไว้แต่เนิ่น ๆ นั้นคือ
ถ้าไม่จัดระบบทวิภาคีตามรูปแบบ
ก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณานำรายวิชาไปฝึกประสบการณ์
ซึ่งวิธีการนี้ มีรายละเอียดต้องพิจารณาหลายหัวข้อประกอบ ได้แก่
จำนวนรายวิชา
รายละเอียดในคำอธิบายรายวิชาได้เพิ่มทักษะในสาขาวิชาชีพนั้น
คำอธิบายรายวิชานั้นตรงกับสมรรถนะงานของสถานประกอบการแต่ละแห่งมากน้อยเพียงใด
จำนวนชั่วโมงที่ต้องการฝึกประสบการณ์จริงนอกเหนือจากการฝึกงาน
ประเภทของสถานประกอบการในท้องที่ที่จะรองรับนักเรียน/นักศึกษาหรือสถานประกอบจังหวัดใกล้เคียง/ต่างจังหวัด
ภาคเรียนที่จะฝึกประสบการณ์
การนิเทศการเรียนการสอน การประเมินผลและสัญญาความร่วมมือ เป็นต้น
วิธีการดังกล่าวข้างต้น
เป็นแนวทางหนึ่งที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่กันฟัง
สำหรับบางสาขางานในสถานศึกษา
ซึ่งไม่ได้จัดระบบทวิภาคีและไม่คิดจะจัดการเรียนการสอนระบบนี้
แต่ก็ไม่ได้ทิ้งหลักการของหลักสูตรอาชีวศึกษา
ที่ต้องการให้มีการปฏิบัติจริง
มีสมรรถนะในการประกอบอาชีพตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตาม
จุดมุ่งหมายร่วมกันทั้งของผู้เขียนและผู้อ่านคงจะไม่พ้น
ต้องการเห็นถึง ขั้นตอนของการพัฒนาอาชีวศึกษาอย่างเป็นระบบ
ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ
นี่ยังไม่นับรวมถึงการกำหนดตัวบ่งชี้บางตัว
ซึ่งไม่ง่ายในการสร้างความเข้าใจตรงกันและการลงสู่การปฏิบัติจริงได้
เชิงอรรถ :
1สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน), คู่มือการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554 – 2558) ด้านการอาชีวศึกษา ฉบับสถานศึกษา พ.ศ. 2554, หน้า 16.
2 สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ, หนังสือที่ สมอ 3521 ลงวันที่ 4 พ.ค. 2549 เรื่อง ขออนุมัติรายวิชาฝึกงานในหลักสูตร ปวช. 2545 (ปรับปรุง 2546) และ ปวส. 2546, หน้า 1.
3 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, หนังสือที่ ศธ 0606/976 ลงวันที่ 30 มี.ค. 2549 เรื่อง การปรับเวลาเรียนและฝึกงาน หน้า 2.
4 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ, ว่าด้วย การจัดการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2547, หน้า 6.
5 กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2546, หน้า 1.
ดาวน์โหลดเอกสาร www.nsdv.go.th/pr/text2011/pimpornno7.pdf
*นางสาวพิมพร ศะริจันทร์ ศึกษานิเทศก์
เขียนวันที่ 28 มีนาคม 2554
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต้นสังกัด
การนำข้อความหรือรูปภาพไปตีพิมพ์ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เขียนเท่านั้น
อีเมล [email protected]
ขอบคุณที่เผยแพร่ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ขอแชร์จากการที่เชิญ สมศ.มาอบรมที่่วิทยาลัย
ท่านให้คำแนะนำในการส่งฝึกงาน ในทางปฏิบัติไม่ง่ายที่จะส่ง นร.ฝึกงานแล้ว จะให้เป็นไปตามข้อกำหนด ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ตรงตามสาขาที่เรียนไม่น้อยกว่าจำนวน ชม.ที่กำหนด ทางออกในทางปฏิบัติที่อนุโลมให้คือ ให้ทำหนังสือขอความร่วมมือเป็น 2 ฉบับ1 คือฝึกงานปกติ 2 ขอความร่วมมือฝึกเพิ่มเติมเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริงตามข้อกำหนด น่าจะเป็นไปได้มากกว่า และผู้ตรวจฯก็อนุโลม
ในทางปฏิบัติ จากการพูดคุยกับสถานประกอบการ ต่างก็ว่า อยู่ๆ การจะมาขอฝึกเรียนรู้ 10-20 ชม. เจ้าของสถานประกอบการมองไม่เห็นว่า นร. จะได้ประโยชน์จริง และในส่วนของสถานประกอบการเองก็มองว่าตนเองเสียมากกว่าได้ ไหนจะต้องมาสอนงาน สอนกฏระเบียบบริษัทฯ ไหนจะเสี่ยงของเสียหาย ถูกขโมย พนักงานจะทะเลาะเบาะแว้งอีกสารพัดฯ
ผมเองกับมองว่า บทบาท สมศ นอกจากจะเป็นผู้มาตรวจคุณภาพแล้ว ควรจะนำเอาปัญหาจากโรงเรียนต่างๆมาช่วยแก้ไข
เช่น จัดระบบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ให้สอดคล้องต่อความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งหอการค้า และสภาอุตสาหกรรม
กำหนดค่าแรงสวัสดิการให้จูงใจผู้เรียน ในประเทศที่เจริญแล้วเขามีแรงงานด้านเทคนิค 80% ด้านบริหาร 20%. ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ในบ้านเรา
และที่ TPI,Toyota, Cp, MK ต่างต้องมาเปิด ปวช ปวส ทำต้นน้ำเองน่าจะแสดงให้เห็นถึงการจัดการศึกษาของกระทรวงฯ และนักการเมืองที่ชัดเจนแล้ว
นี่ยังไม่ได้พูดถึงมาตรฐานผู้ประเมิน และสถานศึกษาภาครัฐที่ทำตัวแข่งขันกับเอกชน จนกลายเป็นธุรกิจศึกษา...