อ้างอิง : วารสารวัฒนธรรมไทย ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ หน้า ๓๘ - ๔๐
ยุคนี้เป็น “ยุคข้อมูลข่าวสาร” ซึ่งมี เทคโนโลยีอันหลากหลายรูปแบบ คนปัจจุบันจึงมีโอกาสรับข้อมูลข่าวสารมากมายจากทั่วทุกมุมโลก จึงมีทั้งเรื่อง “เหลือเชื่อ” เรื่อง “ชวนเชื่อ” และหลาย ๆ เรื่องก็ทำให้คนเรา “หลงเชื่อ” ไปกับข้อมูลที่ได้รับไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาว่า ข้อมูลข่าวสารใดควรปลงใจเชื่อมากน้อยแค่ไหน จึงขอเสนอเคล็ดลับ “สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ ๑๐ ประการ” จาก “กาลามสูตร” อันเป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งใช้ได้ดีมาจนปัจจุบัน และดูเหมือนว่าจะเหมาะกับ ยุคโลกาภิวัตน์นี้มากกว่าที่ผ่าน ๆ มาด้วยซ้ำ และที่สำคัญคิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองของเราในยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งไม่ควรเชื่อ หรืออย่าเพิ่งเชื่อ ๑๐ ประการ ได้แก่
๑. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะฟังตาม ๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะข่าวเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอ้างคัมภีร์หรือตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตรรก หรือเห็นว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน
๖. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะคิดคาดคะเนอนุมานเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะคิดตามเอาตามอาการที่ปรากฏ
๘. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตนหรือเข้ากับทฤษฎีที่มีอยู่
๙. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าผู้พูดควรเชื่อได้
๑๐. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเราทีนี้มาว่ากันทีละข้อ ว่าเราไม่ควรเชื่อหรืออย่าเพิ่งเชื่อ ในแต่ละข้ออย่างไร
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะการฟังตามๆกันมา ความเชื่อ ประเภทนี้ได้แก่พวก “บอกต่อ” หรือ “เขาเล่าว่า” แล้วก็เชื่อ ตามเขา เช่น มีคนบอกเลขเด็ดมา ให้ซื้อหวยเลขนั้นเลขนี้ก็เชื่อ เลยซื้อตาม ๆ กัน ผลคือ หวยไม่ออกตามนั้น แถมยังเป็นหนี้สิน เพราะไปยืมเงินทองเขามาซื้อ เพราะคิดว่าเป็นเลขเด็ดจริง
เป็นต้น
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆกันมา เรื่องความเชื่อข้อนี้คงมิใช่ให้ดูถูกของเก่าหรือของโบราณ แต่ทรงสอนให้รู้จักพินิจพิเคราะห์เสียก่อน ไม่ใช่เชื่อทันทีเพราะคำสอน คนรุ่นเก่าหลายอย่างก็เป็นโบราณอุบาย ที่เป็นการสอนทางอ้อม เช่น ในวรรณกรรมเรื่องสวัสดิรักษาของสุนทรภู่ท่านห้ามภรรยานอนหลับทับมือและพาดเท้าบนตัวสามีและห้ามผู้ชายมิให้นอนข้างซ้ายของหญิง โดยบอกว่าถ้าทำอย่างนั้น จะมีภัย คนสมัยนี้อ่านแล้ว อาจสงสัยว่าจะมีภัยได้อย่างไร แต่จริง ๆ แล้วการห้ามเช่นนั้น เพราะสมัยโบราณ มีขโมยขโจรแยะ ผู้ชายต้องวางดาบไว้ข้างตัวด้านขวา ถ้าให้ผู้หญิงนอนทับมือ หรือไปนอนข้างซ้ายเมีย เวลาโจรขึ้นมาจะจับดาบต่อสู้ไม่ทัน ก็จะเป็นอันตรายได้ความเชื่อที่เป็นของเก่า หากจะเชื่อหรือจะทำตาม จึงต้องสืบหาเหตุผลให้กระจ่างด้วย มิใช่เชื่อเพราะเขาเชื่อและเล่ากันมาอย่างนี้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ ข้อนี้ไม่ต้องขยายความก็คงชัดเจนอยู่ในตัว โดยเฉพาะปัจจุบันมีข่าวลือมากมาย เช่น มีข่าวลือว่า ในอนาคตบางจังหวัดของประเทศไทยจะเกิดแผ่นดินไหว และจมหายไป หากฟังข่าวแล้วเชื่อเลย ก็อาจจะเกิดอาการตื่นตระหนกตกใจ หรือบางคนฟังแล้วเครียด คิดมากจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาพูด อาจจะเกิดก็จริง แต่ต้องเป็น ๑๐๐ ปีข้างหน้า เป็นต้นอย่าเพิ่งเชื่อเพราะอ้างคัมภีร์หรือตำรา เรื่องนี้ต้องดูให้ดีเพราะหลายครั้งก็มีการอ้างตำราผิด ๆ หรือเป็นการหลอกลวง เช่น อ้างว่ารักษาโรคร้ายบางอย่างได้เพราะได้สูตรลับโบราณมา ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการหลอกเอาเงินจากผู้หลงเชื่อ หรือในปัจจุบันมักอ้างผลงานวิจัยต่าง ๆ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นผลวิจัย เพื่อการค้า โดยบอกความจริงไม่ครบถ้วน ทำให้ผู้บริโภค ตกเป็นเหยื่อ หลงไปซื้อสินค้านั้น ๆ เป็นต้น
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรรกะหรือเห็นว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน เพราะเหตุผลบางอย่างก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป เช่น ตามหลักคนเป็นเศรษฐีร่ำรวยล้นฟ้า น่าจะมีอำนาจ และมีความสุข แต่จริง ๆ แล้ว คนที่มีเงินทองมากมายอาจจะไม่มีความสุขเลยก็ได้เพราะต้องเดินทางเร่ร่อนไปเมืองนั้น เมืองนี้ตลอดเวลา ทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือชีวิตยุ่งจนไม่มีเวลาใช้เงินที่ตนหามาได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะคิดคาดคะเนอนุมานเอา เช่น เห็นคนขับรถเบ็นซ์ไปทำงาน ก็คิดว่าคน ๆ นั้นต้องมีสกุลดีฐานะดีซึ่งจริง ๆ แล้วคน ๆ นั้นอาจยังเช่าบ้านอยู่และเช่ารถขับก็ได้อย่าเพิ่งเชื่อเพราะคิดเอาตามอาการที่ปรากฏ เพราะอาจจะเกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้เช่น เห็นชายหนุ่มเดินออกจากบ้านหญิงสาวยามดึก ก็เดาเอาเองว่า เขาต้องเป็นแฟนกัน หรือต้องมีอะไรกันแน่ ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ชายหนุ่มนั้นอาจจะเป็นพี่หรือน้องชายของหญิงสาวนั้นก็เป็นได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตนหรือเข้ากับทฤษฎีที่มีอยู่ข้อนี้จะเห็นว่าคนเราเป็นกันมาก เพราะหากเราเชื่อเช่นไร และมีคนคิดคล้าย ๆ กัน เราก็จะยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้น “ใช่เลย” ซึ่งการเชื่อเช่นนี้จะทำให้ขาดการเสาะหาข้อเท็จจริง และนำมาซึ่งความเชื่อที่ผิด ๆ ได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดควรเชื่อได้ ยิ่งปัจจุบันมีการแบ่งเป็นหลายฝักหลายฝ่าย และคนพูดก็ล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียง ในสังคม ฟังแล้วก่อนจะเชื่อใคร จึงควรพิจารณาข้อมูลให้ถี่ถ้วน ไม่ว่าจะฟังจากที่ใด ไม่เช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา ข้อนี้ฟังดูแรง และเหมือนคนอกตัญญูที่สอนให้ไม่เชื่อครูของเรา แต่โดยความเป็นจริง เป็นการสอนให้รู้จักวิเคราะห์ด้วยตนเอง มิใช่ครูบอกอะไรก็เชื่อไปหมด เพราะครูก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา จึงสามารถพูดผิด สอนผิดได้ดังนั้น เราจึงควรคิดเองด้วยว่าสิ่งที่
ครูสอนใช่หรือไม่ใช่เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เมื่อใดก็ตาม ที่เราได้ยินใครเขาเล่าหรือพูดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็ให้ฟังไว้ก่อน ไม่ต้องไปคัดค้าน ต่อล้อต่อเถียง ไม่เห็นด้วย หรือในทางตรงกันข้าม ก็มิใช่ไปเออออห่อหมกกับเขาในทันทีแต่ให้ฟังหูไว้หูแล้วมา คิดพิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานั้นมันผิดหรือถูก เป็นบุญ หรือบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร ฯลฯ หากคิดถี่ถ้วนรอบด้านแล้ว จึงค่อยตัดสินว่า ข้อมูลนั้น ๆ เราจะเชื่อ ได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะไม่เชื่อเลย ก็เป็นไปได้ซึ่งหลักการนี้ นอกจากจะตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังเป็นการเตือน ให้แต่ละคนได้มีสติและใช้ปัญญาในการใคร่ครวญข้อมูลต่าง ๆ ให้รอบคอบ ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใดลงไป ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความเชื่อสิ่งใดอย่างง่ายดายหรืองมงายไร้เหตุผล
หวังว่า “สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ ๑๐ ประการ” นี้จะเป็นแนวทางให้พวกเรายุคปัจจุบันได้รู้จักคิดให้ละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดตาม “ความเชื่อ” ต่อไปในอนาคต
อ้างอิง : วารสารวัฒนธรรมไทย ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ หน้า ๓๘ - ๔๐
สวัสดีค่ะ
สรุปว่าหากจะเชื่อในสิ่งใด ให้ใช้ปัญญาใคร่ครวญพินิจพิจารณาให้ดีก่อน
จากคำกล่าวที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" ในสังคมปัจจุบัน ขนาดสิ่งที่เห็น ยังไม่ไช่สิ่งที่เป็น ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อคิด และคำอธิบายที่ชัดเจน
ขอบคุณข้อคิดเตือนสติค่ะ
“กาลามสูตร” บางคนก็ สับสนกับคำว่า “กามสูตร” ซึ่งมาจากอินเดียเหมือนกัน แต่เป็นคัมภีร์โบราณว่าด้วยเพศศึกษา ที่เขียนโดย วาตสยายน (วาด-สยา-ยะนะ) ซึ่งมีด้วยกัน ๗ ภาค แต่ละภาคก็จะแบ่งเป็นบทต่าง ๆ เช่น บทว่าด้วยการเลือกภรรยา การเกี้ยวพาราสี บทว่าด้วยการสร้างเสน่ห์ให้ตนเอง เป็นต้น แต่สำหรับ “กาลามสูตร” (กา-ลา-มะ-สูด) เขียน ต่างกันกับข้างต้น เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้สอนชาวกาลามะ ซึ่งอยู่ในเกสปุตตนิคม ดังนั้น ในพระไตรปิฎกจึงเรียกว่า “เกสปุตตสูตร” ตามตำบลที่อยู่ที่พระองค์ทรงสอน แต่คนทั่วไปมักเรียก “กาลามสูตร” ตามสกุลของผู้อาศัยที่นั่นคือ “ชาวสกุลกาลามะ” เพราะจำได้ง่ายกว่า
กาลามสูตรหยุดมิจฉาอย่าทิฏฐิ ใช้สติปัญญาว่าไฉน
อย่าได้เชื่อว่าถูกด้วยถูกใจ อย่าว่าไม่เพราะมิใช่ดั่งใจตน
เสพข้อมูลใดใดให้วิเคราะห์ ค่อยค่อยเจาะแยกแยะแงะเหตุผล
ถึงสุดท้ายได้้ความแท้แน่กมล ตามเหตุผลพิสูจน์ได้ใช้ยืนยัน
ขอบพระคุณสิ่งดีๆที่มอบแก่กันค่ะพี่อิง
ตอบท่านวิโรจน์ พูลสุข
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้นั้นท่านเป็นครู วิเคราะห์ดู ให้เห็นเป็นแก่นสาร
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเขานั้นเป็นอาจารย์ นักวิชาการก็มีเบรอเลอะเลือนไป
อย่าเพิ่งเชื่อนักการเมืองเฟื่องอำนาจ ยิ่งฉลาดยิ่งบิดพลิ้วหิวกระหาย
อย่าเพิ่งเชื่อพวกพูดซ่าส์บ้าน้ำลาย แม้นฟังก็ฟังไว้พิจารณา
อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเป็นสงฆ์ เพราะความหลงอาจท่านนั้นมุสา
แม้นเป็นสงฆ์ก็อาจสงฆ์จากพงศ์กา ใช่เป็นสงฆ์ดังศาสดาทุกรูปไป
อย่าเพิ่งเชื่อพวกพูดมากปากถือศีล พวกสร้างหลักปักถิ่นปลิ้นลื่นไหล
อย่าเพิ่งเชื่อพวกรักชาติวาดลวดลาย มองไม่เห็นกระทำใดในบอกรัก
อย่าเพิ่งเชื่อสื่อต่างต่างพวกว่างสำนึก หมั่นตรองตรึกฟังข่าวใดให้ตระหนัก
อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะเห็นเป็นคนรัก สมองหยักหยักอาจสั่งใจให้หลอกลวง
อย่าเพิ่งเชื่อประโคมข่าวต่างสาวไส้ ยากจะเชื่อข่าวใดใดในเมืองหลวง
แต่ฉันเชื่อสิ่งหนึ่งไม่หลอกลวง เรื่องทั้งปวงออกจากท่านฉันเชื่อใจ
*** มาเรียนรู้ธรรมะ ...........เพิ่มเติมค่ะ ขอบคุณนะคะ ***
สวัสดีค่ะคุณK.Pually
สวัสดีค่ะ
มาศึกษาตำรากาลามสูตรค่ะ
อย่าเพิ่งเชื่อ...นอกจากจะได้พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว
สวัสดีค่ะพี่อิง