เรื่องของ Wisdom: ความฉลาด ความรอบรู้ เชาว์ปัญญา กับ Freedom: อิสรภาพ เสรีภาพ ที่เป็นอีกหนึ่งของมุมมองความงามในการจัดการความรู้สู่การพัฒนาคุณภาพ ซึ่งบรรยายโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
อาจารย์เริ่มด้วยการสะท้อนภาพความวุ่นวายที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่ดี นำมาซึ่งปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่เสมอ ทำให้เสียเวลาไปอย่างมากกับ “การแก้ปัญหา”
และเมื่อมีงานคุณภาพเกิดขึ้น มีเครื่องมือใหม่ๆที่ต้องเรียนรู้และนำไปใช้เพิ่มขึ้นตามมาด้วย หากไม่ สามารถใช้เครื่องมือได้ถูกต้องและเหมาะสมก็จะกลับกลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นและหนักอึ้งตามมา
“Wisdom from Zen : ต้องเข้าใจว่า KPI นั้นเปรียบได้กับ นิ้วมือที่ใช้ชี้ไปที่ดวงจันทร์
สิ่งที่สำคัญ สิ่งที่เราสนใจคือดวงจันทร์ ไม่ใช่นิ้วมือที่ชี้นั้น”
ผู้เขียนชอบประโยคนี้ เพราะรู้สึกและสัมผัสอยู่เรื่อยๆว่าความใส่ใจของการทำงานคุณภาพนั้นบ่อยครั้งที่ใส่ใจในกระบวนการมากไปจนกว่าจะได้ผลลัพธ์นั้นยาก...เพราะเสียเวลากับ process
เครื่องมือทางคุณภาพใหม่ๆถูกนำมาฝึกๆๆๆ...
ถามว่า “แล้วทำให้คุณภาพของเราดีขึ้นจริงหรือไม่?”...
ถามต่อว่า “แล้วทำให้คุณภาพของโรงพยาบาลเราดีขึ้นจริงหรือไม่?”
ถามต่อว่า “แล้วทำให้ตอบสนองความต้องการหลักของผู้รับบริการหรือผู้ป่วยจริงหรือไม่? หรือตอบสนองความต้องการของเราที่คิดไปเองว่าผู้ป่วยต้องการ หรือตอบสนองเพียงความต้องการรองแต่ความต้องการหลักถูกมองข้ามไป”
อาจารย์นำภาพหมีมาเป็นตัวอย่างให้วาดตามในเวลาที่กำหนดแล้วให้เพื่อนที่นั่งข้างๆ ให้คะแนน เป็นการเรียนรู้การวางแผนจัดการงานในเวลาที่กำหนดกับผลของงานซึ่งมีความงามที่ปรากฏต่างกัน
เมื่อมีเกณฑ์การให้คะแนนถูกกำหนดขึ้น ภาพความงามของหมีลดน้อยลงไปเพราะให้เวลากับการทำตามเกณฑ์มากขึ้น
ในประเด็นหลังนี้ ผู้เขียนเองเป็นเช่นนั้น เพราะพอเห็นภาพหมีจากสไลด์ผู้เขียนก็เริ่มมองความสำคัญในรายละเอียดแล้วนับจำนวนหมี จำนวนผีเสื้อ จำนวนผึ้ง จำนวนดอกไม้เป็นรูปหัวใจแล้วขีดๆๆ....ให้ทัน งานที่ได้จึงมิใช่ศิลปะ ดังนั้นการให้คะแนนตามเกณฑ์ของผู้เขียนจึงกลับมากขึ้นกว่าคะแนนในตอนแรกแต่ภาพหมีไม่สวยเลย ผิดกับเพื่อนบางคนที่คะแนนตอนแรกมากกว่าแต่ภาพหมีสวยงามมากกว่า
นี่เป็นการเรียนรู้เรื่องอิสรภาพกับการใช้ความรู้ ความสามารถ สู่เกณฑ์และผลงานที่ได้รับ
สิ่งที่เป็นประเด็นเรียนรู้และอาจารย์มีการบรรยายเพิ่มเติมพอสรุป
ได้ดังนี้
โดยสรุปแล้ว KM เป็นเรื่องของ ความรู้, ความรู้สึก และความรู้สึกตัว การฟังมากๆทำให้เกิดการเห็นผ่านความคิดความรู้สึก
ดังนั้นหัวใจของ KM คือการฝึกฟัง ฟังมากๆทำให้รู้คิด ทำให้มีสติ และเห็นปัจจุบัน
ขอขอบพระคุณ อ.ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ที่นำสิ่งที่ดีๆมาเล่าสู่กันฟังเสมอ
(...รอบนี้ผู้เขียนจึงทำตามคำบอกที่อาจารย์เคยว่าไว้ปีที่แล้วว่า “พบกันคราวหน้าจะไม่มีของฝากนะ...” ... อิอิ...)
สวัสดีครับอาจารย์
จำได้ว่าเมื่อปี 51 โชคดีมีโอกาสได้ขึ้นเวที ร่วมกับอาจารย์ ประพนธ์ ที่ ม.ทักษิณ สงขลา
ไปคุยถึง ตัวชี้วัดบ้านบ้าน ใน นามของ ศวพถ. พัทลุง ครั้งนั้น พูดถึงพูดชี้วัด ว่า ถ้าเราหลงติดกับดักเครื่องในตัวชี้วัด ในที่ก็จะนำไปสู่ "ตัวชี้เมรุ" เพราะการทำ KM คนที่ทำต้องมีความสุข หากรู้สึกไม่สุข ต้องหยุดทบทวน .......นำตัวชี้วัดชาวบ้านมาแลกเปลี่ยน
http://gotoknow.org/blog/thaophattalung/369871 ด้วยความขอบที่เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนทำให้เกิดปัญญา
เรียน ท่านวอญ่า
ท่าน อ.ประพนธ์เป็นตัวแทนความชัดเจนของตัวชี้วัด... ที่หลายๆคนไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
เหตุเพราะเราไม่สามารถทำงานคนเดียวจนสำเร็จได้จึงเป็นเหตุให้ตัวชี้วัดที่ดูเหมือนง่ายมีความหมายอย่างมากในตัวของมันค่ะเพราะสะท้อนผลลัพธ์ของการทำงานเป็นทีมในทุกเรื่อง
ขอบคุณท่านค่ะ