ท่องเที่ยวดูอะไรที่สิงคโปร์ : วันที่ 3 / 4


ท่องเที่ยว สิงคโปร์

ติดตามในการท่องเที่ยวดูอะไรที่สิงคโปร์ 4 วัน
วันที่ 1 / 4    http://gotoknow.org/blog/wow/432322

วันที่ 2 / 4    http://gotoknow.org/blog/wow/432447

วันที่ 3 / 4    http://gotoknow.org/blog/wow/432627

วันที่ 4 / 4    http://gotoknow.org/blog/wow/432631

วันที่สาม ของการเดินทางที่สิงคโปร์  เป้าหมายการท่องเที่ยวดูงานในวันนี้คือ Urban / Chaina Town/ Red Dot  คือศึกษาและถ่ายบันทึกภาพวิถีชีวิตของคนเมืองสิงคโปร์

สำหรับวันนี้ เราต้องไปทานอาหารเช้ากันที่ Maxwell Food Court ว่ามีเมนูอร่อยอยู่ 2 อย่างให้เลือกชิม คือ 1) ข้าวมันไก่ และ 2) โจ๊ก ชื่อดัง

เริ่มต้นด้วย
รถประจำทาง
สาย 80 ไปนั่งรถชั้นสอง เพื่อมองวิวทิวทัศน์เห็น ต้องใจเย็นนิดหนึ่งถ้ามีคนนั่งอยู่รอเขาลงแล้ว เริ่มละเลงบันทึกภาพกันเลย

บ้านเมืองของสิงคโปร์ สะอาดสะอ้านมาก และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูจากถนนหนทาง มีรถราขวักไขว่ แต่ไม่ติดเหมือนบ้านเรา การออกแบบเมืองระบบการจราจรที่มาเป็นอันดับหนึ่ง บางโซนเป็น oneway แต่วนเป็นวงกลม ป้ายบอกทิศทางชัดเจน ล่วงหน้ามาก (แปลกนะไม่เหมือนเมืองไทย จะบอกก่อนเลี้ยวนิดเดียว อาจจะต้องปรับปรุงอีกเยอะ ฮ่าๆ)



มองไปที่อาคารข้างถนน ก็ดูสวยงาม อนุรักษ์แบบเดิมไว้ มีการปรับปรุงทาสีให้ใหม่เสมอ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมา ดูความเป็นระเบียบสวยงาม ไม่มีคนขายของริมฟุตบาทให้เห็นเลย




นอกจากอาคารที่ดำรงศิลปะวัฒนธรรมแบบเดิมไว้แล้ว บางโซน ก็มี Green Area ให้สวยงาม มีการปลูกไม้และสนามหญ้าข้างทางให้สวยงาม ดูร่มรื่น ไม่เห็นแต่เพียงตึกอาคารสูงใหญ่ แต่ทำให้ Soft ลงด้วยต้นไม้




ความมีวินัยในการจอดไม่ ฝ่าไฟเหลือง ไม่ฝ่าไฟแดง ทำให้ผู้ข้ามถนนสบายใจครับ ดูผู้สูงอายุข้ามถนนกันขวักไขว่ครับ (เมืองไทย มองแล้วมองอีก มองจนมั่นใจ ก็ยังโดนชนจนได้ครับ)



ร้านข้างทางที่มีให้เห็นอยู่มากเหมือนเมืองไทยคือ 7-11 เจ็ด สิบเอ็ดครับ
ที่นี่น้ำแพงหน่อยนะครับ น้ำเปล่า ขวดละ 1 เหรียญ ถึง 2 เหรียญนะครับ ไม่ได้ถูกเหมือนเมืองไทย พูดง่ายๆ ราคาเท่า Coke 1.50 เหรียญ ในบางยี่ห้อนะครับ





ประทับใจ การขับรถ ของ พนักงานขับรถของเขา ในรถเขามีอยู่ 1 คนเท่านั้น คือ คนขับรถ ทำทุกอย่างรับเงินทอนเงิน กดให้คูปอง และไม่ฝ่าไฟเหลือง ไม่ฝ่าไฟแดง และจอดที่ควรจอด และไม่จอดในที่ห้ามดูดังรูปติดไฟแดงครับ ผมอยู่บนรถ เลยบันทึกไว้

แต่ดูข้างทางถนนนะครับ ต้นไม้เขียวให้ดูรื่นตา ทั้งที่อากาศร้อนนะครับ



ขับรถมีวินัยดี ผมพยายามหา รูป ที่ผิดปกติ มาไว้ดูหน่อย ก็ไม่ค่อยให้เห็นอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนเมืองไทยเลย สีขาวที่พ่นบนถนน เป็นร่องรอยรถชนกัน ไม่มีให้เห็นเลย ในช่วงที่ผมไปนี้





เหลือบไปมองเห็นวัดจีน  อ่ะเราต้องลงที่ป้ายนี้แหละครับ ป้ายนี้ ตรงข้ามกับ Maxwell Food Court ครับ

ไปลงหน้า Maxwell Food Court หรือตรงข้ามวัดจีนที่มีพระเขี้ยวแก้วอยู่ชั้น 4
Maxwell Food Court ว่ามีเมนูอร่อยอยู่ 2 อย่างให้เลือกชิม คือ 1) ข้าวมันไก่ ชื่อดัง  และ 2) โจ๊ก ชื่อดัง
ร้านข้าวมันไก่ ชื่อร้าน Tian Tian  (แผงหมายเลข 10)  ยังไม่เปิดครับ เพราะเขากำลังปรุงเครื่องอยู่ เลยเดินมาร้านโจ๊กครับ
Zhen Zhen Pork Porridge โจ๊กดูเลชคูหา  เลขที่ 01-54 นะครับ แต่จะหาเลขไม่เจอ แต่ดูข้างๆ ร้านอื่นๆ ไล่ลำดับมานับมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึงครับ มาถึง คนรอคิวครับ แม่ค้าพูดอังกฤษได้ครับ จะสั่ง Fish/pork/Century egg porridge ก็ได้ เมนูเด็ด โจ๊กปลา และโจ๊กไข่เยี่ยวม้า เลือกได้ว่าจะใส่ไข่หรือไม่ก็ได้   วันที่ไป ไม่ขายหมู เลยกิน โจ๊กปลาครับ




ได้มาแล้วครับ โจ๊กปลา 2 ถ้วย ใส่ไข่ 1 ถ้วย ไม่ใส่ 1 ถ้วย




ลุยละไม่รอแล้ว หิวครับ สรุป ก็กินไม่หมด ชามใหญ่มาก (รู้อย่างนี้สั่ง 1 ชาม กินสองคนครับ)

 

ในที่สุดก็เหลือจนได้ ไม่ไหวแล้ว




เมื่อกินข้าวเช้ากันอิ่มแล้ว เราก็เดินออกมาฟุตบาท ไม่ต้องข้ามถนนนะครับ แล้วเดินเลาะไปทางข้างๆ จะเห็นตึกสีแดงๆ ที่นี่ก็เอกลักษณ์ของสิงคโปร์เลย เขาเรียกอาคาร Red Dot 
ตรงข้ามอาคาร Red Dot จะมี อาคาร   URA Center ชม Singapore city gallery (ปิดห้าโมงเย็น) แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ เพราะไม่มีเวลา จะไปชมอย่างอื่นๆ ต่อ

เชิญลงมือถ่ายกันให้เต็มที่นะครับ จะเอามุมไหน แต่เข้าไปในอาคารก็ได้ แต่ต้องเสียค่าเข้าด้วยนะครับ ผมกับแฟนเลยถ่ายกันข้างนอกตึกเท่านั่นแหละ แล้วก็วนดูรอบๆ

    

เมื่อถ่ายรูปหนำใจแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาทางศูนย์อาหาร Maxwell นะครับ ให้ข้ามถนนไปฝั่งวัดพระเขี้ยวแก้ว นักท่องเที่ยวก็มาถ่ายรูปกันพอสมควร ไม่มีใครอายใคร ถ่ายกันได้ครับ

วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ วัด Budda Tooth  Relic Temple and Museum

เราสามารถเข้าชมได้ฟรีนะครับ แต่การแต่งกายขอให้ใส่ขายาว เท่านั้น หรือคลุมเข่าลงมา  

วัดพระเขี้ยวแก้ว ได้สร้างด้วยงบประมาณมากกว่า 53 ล้านเหรียญสิงคโปร์  ออกแบบเป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งด้านในจะมี 4 ชั้น แบ่งเป็นโซนต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธ  เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเกี่ยวข้องกับ ศาสนาพุทธ วัฒนธรรมชาวพุทธ (Buddhist Culture Museum), พิพิธภัณฑ์สิงห์ (Eminent Sangha Museum), ห้องพระไตรปิฎก (Tripitaka Chamber), ห้องจัดแสดง (Exhibition Hall) 



ชั้นที่ 1 ใช้ประกอบพิธีการทางศาสนา
วัดจะมีธูปให้ฟรี แต่ขอให้ใช้คนละ 1 เล่มจุดตรงกระถางธูป



ไว้เสร็จ เดินขึ้นไปทางด้านข้าง ขึ้นลิฟท์นะครับ ไปชั้นบนสุดก่อนเลย (คือ ค่อยๆ เดินลง ดีกว่าเดินขึ้นจริงไหมครับท่่าน) หน้าลิฟท์จะแจ้งว่าแต่ละชั้นมีให้ชมอะไร ดูตามรูปสิครับ เป็น Animation เลย แต่ถ่ายมาเป็นภาพนิ่งครับ



ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดก่อนเลย ก็ได้ไปบนดาดฟ้า เพื่อบันทึกภาพ เป็นที่ระลึก บริเวณทางเดินรอบๆ ชั้นดาดฟ้า



ในชั้นนี้ มีพระพุทธรูป จำนวนมากมายที่ประชาชนสิงคโปร์ และนักท่องเที่ยวได้ร่วมบุญ ปัจจัย เพื่อสร้างถวายเป็นพุทธบูชา



ที่ตรงกลางชั้น มีหอพระ อยู่โซนกลางดาดฟ้า ด้านในก็จะมีพระพุทธรูป เต็มผนังเช่นกัน



พระพุทธรูป ที่ประดิษฐานอยู่รอบๆ ผนัง



จากนั้นเราสองคนก็เดินลงมาที่ชั้น 4  โดยใช้บันไดหนีไฟ ช่วยเขาประหยัดไฟด้วยแหละที่สำคัญ ลดภาวะโลกร้อนถ้าเราใช้ลิฟท์ เพราะตอนนี้เรายังแข็งแรงอยู่ ก็เดินลงไป ให้ ประคองสติ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” เดินลงมาชั้นสี่ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าไปด้วย

พระเขี้ยวแก้วอยู่ที่ชั้น 4 อยู่โซนในสุดของห้อง ด้านหน้าห้อง จะมีป้าย ห้ามถ่ายรูปนะครับ ผมมีกล้อง แต่ไม่ถ่ายครับ เพราะกลัวเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น เขาว่าไงว่าตามนั้น

ซึ่งเดินไปบน ชั้น 4 ที่เห็นอยู่ในชั้นนี้ มีพระภิกษุ กำลังทำพิธีให้กับญาติโยม ซึ่งต่อคิว มาถวายปัจจัย และท่านจะเคาะศีรษะ ให้หมดทุกข์หมดโศรก มีโชคมีลาภ และมีโซนให้นั่งสมาธิ ด้านขวา  แต่เราก็เดินเข้าไปชมด้านใน  จะมีห้องกระจก มีพระเขี้ยวแก้ว ให้บูชา ซึ่งห้ามถ่ายรูป ในโซนด้านใน  

จากนั้นเดินออกมาด้านนอกห้อง  ก็ได้ ร่วมบุญให้กับวัด โดยไปซื้อเป็น ถุงทองตามปีเกิด เอาไว้เป็นที่ระลึก ด้วย และเราก็ได้ร่วมบุญด้วย ถุงละ 5 เหรียญ เลยทำไป 2 ถุง เพราะคนละถุงครับ

จากนั้นก็เดินลง ทางหนีไฟ เพื่อลงสู่ชั้นที่ 3 ครับ

เมื่อเข้ามาในห้องชั้น 3 ก็มี พระพุทธรูป ปางต่างๆ วางไว้ ด้านนอกในห้อง สามารถถ่ายภาพได้ บางโซนเท่านั้น เราก็บันทึกไว้พอเป็นที่ชื่นใจ ก็เดินชมกันตามใจชอบ บังเอิญ เราสองคนชอบ การได้ทำบุญ และบูชาพระพุทธเจ้า เลยอยู่ที่นี่นานเป็นพิเศษครับ

นี่ ตอนเป็นเจ้าชายสิทธิทัตถะ ตอนเดินได้ 7 เก้า และยกนิ้วชี้ 1 นิ้ว (ใครอยากรู้ความหมาย โปรดศึกษาเพิ่มเติม)




ได้บูชา รอยพระพุทธบาทจำลอง เหมือนได้บูชาที่วัดไทย จริงๆ เลย



ห้องที่เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ ดูเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก และยังมีอีกหลายๆ ชิ้นส่วนจากพระสรีระของพระพุทธเจ้า (ส่วนอวัยวะ ส่วนต่างๆ ที่แปลงเป็นพระบรมสารีริกธาตุ) ต้องไปบูชาให้ได้นะครับ ผมได้ขึ้นไปแล้วได้ร่วมปัจจัยในกล่องร่วมทำบุญ เป็นเงินทำบุญส่วนหนึ่ง มีความปลื้มปิติ ไม่รู้ลืม เพราะทำในท่ามกลาง พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า อยู่รอบล้อมเราอยู่ทุกด้านเลย (อยู่ที่ชั้น 3 ด้านใน ดูแล้วปลื้มในบุญสุดๆ ) ก็ได้นั่งสวดมนต์ และแผ่เมตตา สักครู่ที่ชั้นนี้

จากนั้นเดินลงมาที่ชั้น 2

แสดงงานศิลปะในเชิงศาสนามีทั้งภาพวาด และงานแกะสลัก มีห้องสมุดที่รวบรวมพระธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาเอาไว้มากมาย และมีขายของที่ระลึก ด้วย




เราก็แวะเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่โซนในสุดของห้องนี้ หลังห้องสมุดในรูปด้านบนนี้ มีห้องน้ำ สะอาดครับ อย่างไรใช้บริการแล้ว ช่วยดูแลรักษาความสะอาดด้วยนะครับ จะได้ใช้กันนานๆ เผื่อมาแวะเที่ยวอีก และอย่าลืมทำบุญช่วยค่าน้ำ ค่าไฟกันหน่อยนะครับ

แล้วเดินชมต่อในด้านนอกๆ และมาถ่ายภาพ โมเดล วัดพระเขี้ยวแก้ว มีทั้งโมเดลไม้ที่ยังไม่ทาสี และโมเดลที่ทาสี แบบด้านล่างนี้




จากนั้นเราออกเดินชมตลาดขายของที่ระลึก ซื้อของที่ระลึกกันที่ Pagoda St. ย่าน China Town   มีของที่ระลึกพวงกุญแจ หรืออื่นๆ ที่สนใจอยากซื้อ ที่นี่ค่อนข้างถูก ดูหลายๆ ร้านนะครับ ได้แบบ 6 ชิ้น 10 เหรียญสิงคโปร์ สวยๆ เยอะเลยครับ




เดินมาทางด้านซ้ายของวัด จะมีอาคาร China Town Market ที่ชั้นล่างขายสินค้า แต่ชั้นบนเป็นศูนย์อาหารฯ ลองขึ้นไปทานดูกันหน่อย คนเยอะดีครับ



เหมือนเดิมครับ คิดอะไรไม่ออก ก็สั่ง ข้าวมันไก่อบ เหมือนเดิมครับ กลัวกินอย่างอื่นๆ ไม่ลง ใครทานแปลกๆ เชิญตามสะดวกนะครับ ไม่อยากขัดศรัทธา เต็มเหนี่ยวครับ

จากนั้นเราก็เดินลงมาหลังทานกันอิ่มครับ ก็เดินถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อาคารศิลปะแบบสไตล์จีน เพราะเรามาเที่ยวถึง China town แล้วนี่นา



ของที่ระลึกในตลาด China town น่ารัก น่ารักเยอะเลย








ตอนนี้กำลังจะเดินไปทาง MRT รถไฟฟ้าครับ แต่ผ่านด้าน China Town มีชาวต่างประเทศมานั่งทานอาหารเที่ยงกันเยอะ และมุมพิพิทธภัณฑ์ที่นี่ครับ เสียค่าเข้าชมนะครับ แต่ถ่ายไว้เฉพาะด้านนอก เพราะรีบไปที่อื่นๆ ต่อครับ




ไปสถานี MRT เพื่อเดินทางไปยัง สถานี  City hall ($1.2)   เมื่อขึ้นจากสถานี เดินชมโบสถ์เซ็นต์แอนครูว์  St. Andrew's Cathedral ซึ่งเป็นสถานที่สวยงามเน้นโทนสีขาว ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ประวัติมีการออกแบบอาคารโดย นายพล โรนัลด์ แมคเพอร์สัน ในปี ค.ศ. 1856 ที่ได้สร้างแทนหลังเก่า ที่ถูกฟ้าผ่าสองครั้ง ในปี ค.ศ. 1852




เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เดินทะลุจากโบสถ์ ไปถนนอีกฝั่งที่เป็นสนามหญ้า หรือเรียกว่า Padang หรือสนามหลวงบ้านเราดีๆ นี่เอง ในมุมนี้ มองเห็น
Singapore flyer และอาคารรูปเรือ และอาคาร Suntec Convention Centre และ โรงละคร Esplanade ทรงหนามทุเรียน แต่ไม่ต้องข้ามถนนนะครับ เพราะจะเดินเรียบถนนไปทางขวา เพื่อไปรัฐสภาของที่สิงคโปร์




เดินไปไม่ถึง 200 เมตร ก็จะเห็นอาคารรัฐสภา บนถนน PARLIAMENT PL ไม่ได้แสดงรูปนะครับ เพราะไม่ได้แปลงไฟล์มาให้ชม แต่แสดงแค่ป้ายบอกทางให้ดูก่อน

 

ในถนนเส้นนี้ เรานักท่องเที่ยว เดินถ่ายรูป อาคาร The Art House / The Parliament House / The Victoria Theatre / รูปปั้น Sir Stamford Raffles (Raffles' landing point)  ในบริเวณที่เดียวกันนี้ ทั้งใกล้ไกล

ตอนนี้เดินมา จนถึงที่หน้าอาคาร The Arts House มีรูปปั้นช้าง ซึ่งได้ในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาส มาที่สิงคโปร์ และ
รูปปั้นช้างที่ทำจากบรอนซ์นี้ เป็นของขวัญจากพระจุลจอมเกล้ารัชกาลที่ 5 ของประเทศไทย ในปี 1871





ที่ด้านหลังรูปปั้นช้างจารึกอักษรไทยครับ



ที่มุมอานุสาวรีย์ สามารถถ่ายภาพได้เห็นอาคารเรือ เหมือนติดอยู่บนต้นไม้ มีคนชมวิว อยู่บนอาคาร



ถ่ายรูปในสวนสาธารณะ แล้วหาสะพานข้ามไปยังโรงแรม The Fullerton Hotel ที่มีบรรยากาศด้านหน้าโรงแรมเหมือนซิดนีย์ฮาร์เบอร์ในออสเตรเลีย



ที่ข้างๆ สะพานข้าม หน้าโรงแรม จะมีรูป เด็ก กำลังกระโดดเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน



จากนั้นให้เราเดินเรียบแม่น้ำ ไปทางเด็ก เพื่อข้ามใต้สะพานไปอีกฝั่งของถนนนะครับ ตรงไปตามที่เห็นในรูป ไปทางนี้เลย พอถึงถนนให้มองหา ทางลอดใต้สะพานข้ามไปอีกฝั่งครับ

ใต้สะพานจะมี กาแฟยี่ห้อดังคล้ายๆ เมืองไทยคือ Starbucks เราจะข้ามไปเพื่อถ่ายรูปสิงห์โตตัวแม่ และตัวลูกครับ

Merlion Park - รูปปั้น Merlion ตัวแม่และตัวลูก 

สิงโตทะเล (Merlion) ออกแบบโดยคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board - STB) ในปี 1964 เพื่อส่งเสริมหรือเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยว – รูปปั้นนี้มีหัวเป็นสิงโต ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น ต่อมาไม่นานทั่วโลกก็ถือกันว่าสิงโตทะเลตัวนี้คือเครื่องหมายประจำชาติสิงคโปร์


คนเยอะ อ่ะ แต่เห็นแต่เพียงตัวลูก ถูกคนรุมถ่ายรูปอยู่ แล้วตัวแม่ละ อ้าวโดนล้อมรอบด้วยกรงไม้สีแดงซะแล้วครับ





เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ถ่ายรูปด้วย ละกัน สิงห์โตตัวลูก




สิงห์โตตัวแม่ อยู่ในอาคารสีแดง ซึ่งถูกจำลองให้เป็น “โรงแรม” ซะแล้ว แต่เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เขาได้รับสิทธิ์จาก รัฐบาลในการดำเนินการ เพื่อช่วงเช้ากลางวัน และเย็น ให้คนเข้าชม แต่ค่ำๆ ให้คนเช่าเข้าพักได้ครับ
ต้องต่อคิวรับบัตรคิวครับ จำนวนจำกัด ทีละชุด  ซึ่งให้อนุญาติถ่ายรูปได้เต็มที่ ยกเว้นขึ้นบนเตียง หรือลงในอ่างอาบน้ำนะครับ



สิงห์โตตัวแม่ถูกแปลงโฉมครับ มีเตียงนอนอยู่ข้างหน้าเลย








อีกมุมหนึ่ง โซฟา และเห็นวิวด้านนอก สวยดี บรรยากาศดี แต่ไม่แน่ใจ ราคาจะแพง ขนาดไหน




ห้องอาบน้ำ มองเห็นวิว แม่น้ำ แต่ไม่รู้ข้างนอกเห็นเราตอนอาบหรือเปล่านี้สิ ^^
 


เมื่อถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินข้ามสะพาน ข้ามแม่น้ำไปฝั่ง
โรงละคร Esplanade ทรงหนามทุเรียน

ลงชั้นใต้ดิน ดูป้ายไป MRT เพื่อไปทางเดินเชื่อม  City Link mall เป็นทางเชื่อมใต้ดินเพื่อไปยัง Suntec City และในทางเชื่อมจะมีร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ด้านล่าง ถ้าใครหิวก็หาซื้อขนมปังที่มีวางขายเยอะ คือ Bread Talk

เราเดินในทางเชื่อม city link mall เข้ามายัง Suntec City ไปถึง Fountain of wealth   
(เวลาแสดงเลเซอร์ 20:00, 20:30 และ 21:00
หากอยากไปอธิฐานแตะน้ำพุโดยเดินตามเข็มนาฬิกาให้ครบ 3 รอบ
9.00 – 12.00,14.00 – 18.00,19.00 – 19.50,21.30 – 22.00)

เมื่อขึ้นจากอาคาร Sun Tec Tower เขาว่ากันว่า เป็นรูปนิ้วมือทั้งหา มี 5 อาคาร One Two Three Four Five ดูชื่ออาคารที่ด้านข้างอาคารมีตัวอักษรแสดง พยายามถ่ายเหมือนที่ มีคนแนะนำให้ถ่ายให้เห็น 5 นิ้ว แต่กล้องเราเตรียมเลนส์มาไม่ดีพอ ได้แค่ สี่นิ้ว ขาดนิ้วโป้ง



ถ่ายภาพยามกลางคืน วันนี้มาบังเอิญปิดซ่อม น้ำพุดนตรี อันมีชื่อเสียงของที่นี่ หรือ โชว์เลเซอร์ Fountain of Wealth ที่ Suntec Tower 2




ลงไปกินอาหารเย็นค่อนข้างค่ำ Dinner 1 ที่  Fountain Food Court เป็นโซนอาหาร มีร้านอาหาร อยู่ชั้นใต้ดิน ในตึก Suntec 3 (ที่มี Carrefour) ของ Suntec (มีข้าวมันไก่ boon tong kee ร้านดัง) แต่เปลี่ยนใจไปกิน บักกุดเต๋ Buk Kud Tae ร้านมุมไกลสุด ใกล้ๆ อาหาร Indian



และทานกาแฟและขนมปังอร่อย ที่ร้าน Ya Kun Kaya Toast สุดยอด หอมอร่อย ได้สั่งมาเป็นชุด




เมื่อไม่มีน้ำพุให้ชม เราก็แก้ขัด ไปถ่ายรูป ริมแม่น้ำ กันดีกว่าครับ
เมื่อขึ้นมาที่อาคาร โรงละคร Esplanade ทรงหนามทุเรียน มีตัวนักดนตรีลายสีสรร ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ใช้ขาตั้งกล้องที่อุสาห์ขนมาครับ



และเดินมาหามุมกลางสะพาน ถ่ายรูป สิงคโปร์ฟลายเออร์ และ มารีนาเบย์แซนด์



เดินกลับไปลงรถไฟฟ้าใต้ดินที่อาคาร Esplanade เพื่อนั่งรถไฟฟ้า MRT ที่สถานี City Hall กลับไปยังสถานี  Aljunied และนั่งรถประจำทางกลับโรงแรม พักผ่อนอีกคืนที่แสนสุดเหนื่อย กับการเดินถ่ายภาพ เต็มเหนี่ยว


สรุปในวันนี้
1) ได้เห็นเมืองสิงคโปร์ ที่มีการดูแล สถาปัตยกรรมอาคาร และมีการผสมผสาน ต้นไม้ให้ดูเขียว Green Area ไม่ได้ดูร้อนจนเกินไป
2) ไม่มีการขายของริมฟุตบาท เพราะมีการจัดโซนอาหาร และขายของให้เรียบร้อยดี
3) การใช้ประโยชน์จากทางเชื่อมใต้ดิน สร้างเป็นห้างสรรพสินค้า ใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้ว อย่างมีคุณค่า











หมายเลขบันทึก: 432627เขียนเมื่อ 24 มีนาคม 2011 20:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2014 17:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

วันนี้ไม่ได้จ่ายเงินเลย ?? อดรู้ค่าใช้จ่าย

เหลือพรุ่งนี้อีกวันจะมาตามต่อค่ะ :) Have a nice trip !!

 

สวัสดีครับคุณ mee_pole วันนี้ไม่ได้เสียค่าใช่จ่ายอะไรมาก นอกจาก ค่าอาหารตกมื้อละ 5 เหรียญสิงคโปร์ครับ สามมื้อครับ เดี๋ยวจะแก้ไขมาแสดงให้ดูนะครับ ^^

ค่าเข้าสถานที่ไม่มีครับ เพราะเน้นสถานที่ ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ

สวัสดีค่ะคุณ'ครูgisชนบท'

แวะมาอ่านและชมเมืองสิงคโปร์ว่าเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง?

Merlion ที่ Merlion Park คงสวยงามดีเหมือนเดิมนะคะ

จะเห็นได้ว่าสถานที่ใดที่มีความสะอาด แม้กระดาษสักชิ้นก็ไม่มีตกหล่นให้เห็น สถานที่นั้นจะสวยงามน่าชื่นชม ความสะอาดจะบ่งบอกถึงคุณภาพผู้คนด้วยค่ะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท