คุณแม่อายุ 27 ปีแล้ว เธอตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง และมีปัญหากับสามีจนไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ขณะที่กำลังท้องก็ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
เมื่ออายุครรภ์ได้ 6 เดือนขณะทำงานอยู่เกิดมีอาการผิดปกติ จึงรีบมาพบแพทย์ หลังการตรวจพบว่ามีการผิดปกติต้องทำการผ่าตัดคลอดเพื่อช่วยชีวิต
ลูกเกิดมาก็อายุเพียง 6 เดือน
คุณแม่ต้องประสบกับปัญหารุมเร้าหลายอย่าง จนไม่มีกะจิตกะใจจะให้ความร่วมมือกับคุณพยาบาล
เอาแต่ร้องไห้ จะกลับบ้าน จนทีมการดูแลวุ่นกันไปหมด ทุกคนพยายามช่วยปลอบโยน ทำกันเกือบครบทุกวิธี คุณแม่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ พอดีมีคุณพยาบาลคนหนึ่งเป็นคนที่ใจเย็น เป็นคนมีอัธยาศัยดี ที่สำคัญคือเค้าเคยเป็นแม่คนมาแล้ว จึงมีความเข้าอกเข้าใจภาวะจิตใจ
เมื่อเห็นคุณแม่รายนี้เอาแต่ร้องไห้ เขาก็ได้เข้าไปพูดคุย เมื่อคุยกันสักพักด้วยอากัปกิริยา เป็นมิตร
ไม่หักโหม ผ่อนปรน เน้นความเข้าใจร่วมกัน การชี้ถึงประโยชน์ในการบีบน้ำนมเพื่อให้ลูกได้ดื่มกิน
ประกอบกับได้ทราบว่าตัวคุณแม่เองมีปัญหาส่วนตัว
สามีห่างร้างกันไปไม่มาดูแล ลูกคนโตก็รอ งานที่ทำอยู่ก็ยังไม่สามารถหยุดได้เนื่องจากเป็นการป่วยแบบปัจจุบันทันด่วน จึงขอลาหยุดได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ และจะต้องรีบกลับไปทำงานเดี๋ยวนายจ้างจะไม่จ้างต่อ เมื่อได้พูดได้คุยทางออกที่หลากหลายก็ค่อยๆ เผยออกมา
เขาก็ได้บอกกับคุณพยาบาลว่า หนูไปทำงานได้มั๊ยตอนกลางวันนี่ แล้วเย็นๆ หนูจะกลับมาอยู่กับลูก คุณพยาบาลก็รับคำ
พร้อมทั้งเล่าถึงเรื่องผลกระทบที่จะเกิดกับตนเองเนื่องจากภาวะโรค เนื่องจากความอิดโรยเพราะการผ่าตัด คุณแม่ก็เข้าใจ เสียงร้องไห้ก็ค่อยๆ จางลงไป และยอมที่จะอยู่พักรักษาตัวต่ออีกเท่าที่จะเป็นไปได้ สถานการณ์ที่กระวนกระวายไม่ให้ความร่วมมือกับการรักษาพยาบาลก็ได้รับการแก้ไขทุกคนก็มีความสุขกันไป
สภาวะจิตใจของแม่ตอนคลอดน้องเป็นเรื่องสำคัญต้องมีคนใกล้ชิดคอยให้กำลังใจอย่างมาก พ่อต้องมีบทบาทสำคัญที่สุดนะครับ