ผู้เขียนเคยพาครอบครัวไปเยี่ยม ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่บ้านห้วยหิน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่ 2 วัน 2 คืน พร้อมเดินชมต้นไม้ในป่า วนเกษตร และแบ่งเวลาไปเยี่ยม สวนออนซอน ของพ่อเลี่ยม บุตรจันทา ที่บ้านนาอีสาน จังหวัดเดียวกัน
ที่บ้านผู้ใหญ่วิบูลย์มีจุดเรียนรู้อยู่บนทางเดินในป่าตลอดเส้นทาง ผู้เขียนต้องทำหน้าที่อ่านและแปลความหมายเป็นภาษาไทยอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจ และแปลเป็นภาษาอังกฤษให้กับ Mr.Dummy นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) จากประเทศศรีลังกา ซึ่งมาฝึกงานที่ วนเกษตร เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในบ้านเมืองของตนเอง
มีอยู่จุดหนึ่งขึ้นหัวข้อว่า 3 5 3 กระบวนการเรียนรู้เพื่อการพึ่งตนเอง เป็นการสรุปแผนการเรียนรู้และการจัดการชีวิตของตนเองออกมาเป็นสูตร 3 5 3 ดังนี้
ผู้เขียนได้นำเรื่องนี้ไปสอนในวิชากระบวนทัศน์พัฒนา ในโครงการอบรมหลักสูตรสัมฤทธิ์บัตรของสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน (มหาวิทยาลัยชีวิต) ณ ศูนย์เรียนรู้ของชุมชน โรงเรียนเทศบาลเมืองชุมพร และจัดกิจกรรมให้นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยคำถามว่า “ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญ นำสูตร 353 มาประยุกต์ใช้ในครอบครัวของเรา ?" ต่อไปนี้คือบางส่วนของมุมมองความคิดที่ได้รับจากนักศึกษาที่เป็นผู้นำชุมชน
ปาลิน เอี้ยงมี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ต.วังไผ่ อ.เมืองชุมพร “การรู้จักตนเอง รู้ถึงปัญหาของตนเองทำให้เราสามารถแก้ปัญหาในเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันโดยรู้จักวางแผนชีวิต และแก้ปัญหาของชุมชนโดยรู้จักวางแผนทรัพยากร ทำให้แก้ปัญหาของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สามารถใช้ชีวิตอย่างพอเพียงได้โดยไม่มีหนี้สิน”
สรศักดิ์ มีอินทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ขุนกระทิง อ.เมืองชุมพร “เราต้องรู้ตัวเองว่า ครอบครัวของเรามีปัญหาด้านใดจึงค่อย ๆ แก้ไขไปทีละจุด และในบ้านเรามีทรัพยากรอะไรบ้างซึ่งเป็นทุนให้ใช้ในครอบครัว เช่น อาหาร พืชผักสวนครัวบางชนิดเราสามารถปลูกกินเองได้ สมุนไพรบางตัวสามารถใช้แทนยารักษาโรคได้ แม้แต่ปุ๋ย ก็ใช้มูลวัว มูลไก่ ที่เราเลี้ยงไว้กินไข่ เมื่อรู้ปัญหาแล้วก็ต้องจัดทำแผนในครอบครัวก่อนว่า พรุ่งนี้จะลงมือทำอะไรก่อน-หลัง ถ้าจะปลูกผักสวนครัวก็เตรียมเครื่องมือและหาเมล็ดพันธุ์ พอสายจากการทำสวนครัวก็เริ่มทำเล้าไก่-เป็ด และมูลไก่-เป็ดนำมาใช้เป็นปุ๋ยให้กับผักที่เราปลูก ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้และปลอดภัยในชีวิตด้วย”
บุญส่ง สุทธานินทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 11 ต.วังไผ่ อ.เมืองชุมพร “การที่จะช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุดโดยไม่เป็นภาระคนอื่น เราต้องมีความพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ใช้ของที่เรามีก่อนที่จะต้องซื้อหามาใช้ ต้องรู้ก่อนว่าครอบครัวของเราต้องการอะไร และขาดอะไรไปบ้าง ต้องหาทรัพยากรในครัวเรือนมาประดิษฐ์เป็นของใช้ให้เป็น อาหารเราต้องปลูกผักสวนครัวไว้กินเองบ้าง ถ้าเราไม่มีที่ดินเราปลูกในกระถางก็ได้ เราต้องวางแผนเวลาของตัวเราเอง ต้องทำมาจากตัวเองเป็นหลักก่อน ต้องพยายามสอนให้ลูกรู้คุณค่าของชีวิต”
น่าชื่นใจในมุมมองความคิด “กระบวนทัศน์การพัฒนา” ของผู้นำรุ่นใหม่ ถ้ามีอย่างนี้ไม่ต้องมากเพียง 25% ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สังคมชุมพรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น...แน่นอน.
ผมว่า ๒๕ % มากไป ต้องการแค่ ๒.๕ % ประเทศก็เปลี่ยนแล้วครับอาจารย์
paitoon tawalai
Roi- Et
เป็นตัวอย่างที่ดีมากค่ะ โดยเฉพาะมุมมองความคิดเห็นของนักศึกษา ม.ชีวิต ของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่พอจะชี้วัดหรือแสดงว่าอาจารย์ประสบความสำเร็จในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในวิชานี้ คือนักศึกษาของเราได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์แล้ว และยังบ่งบอกถึงการบูรณาการของวิชากระบวนทัศน์พัฒนาและวิชาการวางเป้าหมายและแผนชีวิตอย่างเป็นเนื้อเดียวกันทีเดียวค่ะ
ดีใจที่ได้ยินได้ฟังเรื่องดีๆ เช่นนี้ค่ะ และหวังว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มแผ่นดินนะคะ
จะให้นักศึกษา ศชช.ม.ชีวิตแม่สะเรียง นำไปปฎิบัติ
ชื่นใจมากครับอาจารย์ที่เห็น สูตร 353 ใช่เลย ม.ชีวิตของพวกเรา อยากให้ขับเคลื่อนทั้ง
แผ่นดินสยาม คงไม่นานเกินรอ เพราะ ม.ชีวิตเราเกิดแล้วครับ
การเข้าถึง กระบวนทัศน์พัฒนา สามารถทำให้รู้ถึงทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทย และสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตนเองได้ อย่าอยุ่อย่าง "โง่ จน เจ็บ"