beeman 吴联乐
นาย สมลักษณ์ (ลักษณวงศ์) วงศ์สมาโนดน์

เรื่องเล่า "วิชาชีวิต"<๙> เรื่องเล่าในสมุด Journal ของ แป้ง-ดลยา ตอนที่ 1


รู้สึกว่า ช่วงชีวิตตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาจะเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด

(จากคำถามที่ว่า Who are you? เจ้าเป็นไผ..)

   My story ของดิฉัน (แป้ง-ดลยา) เริ่มตั้งแต่ คุณพ่อ-คุณแม่ของฉัน... 

   คุณพ่อเป็นคนกาฬสินธุ์โดยกำเนิด พอเรียนจบม.ปลาย ก็สอบเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมไฟฟ้า ม.ขอนแ่ก่น

   คุณแม่ เป็นคนพิษณุโลก พอจบม.ปลาย ก็สอบเข้าเรียนที่คณะวิทยาการจัดการ สาขาการบัญชีและการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นกัน

     หลังจากที่ท่านทั้ง ๒ เรียนจบปริญญาตรี คุณพ่อได้เข้าทำงานที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาฬสินธุ์  ส่วนคุณแม่เรียนต่อปริญญาโท สาขาบริหารการจัดการ พอเรียนจบก็ไปบริหารงานธุรกิจของครอบครัว

    พรหมลิขิต ทำให้ท่านทั้งสองได้มาพบกันอีกครั้ง เนื่องจากคุณยายซึ่งเป็นพยาบาล ได้ย้ายมารับตำแหน่งใหม่ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ได้แต่งงานกัน ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกคือดิฉันเอง

    ดิฉัน มีชื่อเล่นว่า ป๋องแป้ง เกิดเมื่อ เดือนกรกฏาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ที่อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์...

   ชีวิตในวัยเด็กก็เล่นซนเหมือนเด็กทั่วไป แต่ว่าตอนเย็นๆ ของทุกวัน คุณพ่อและคุณแม่ก็จะสอนให้อ่านหนังสือ มันเป็นหนังสือผ้า มีรูปและมีประโยคสั้นๆ ให้หัดอ่าน ซึ่งในตอนนั้นดิฉันยังอ่านหนังสือไม่ได้

   แต่อาศัยความจำจากการที่ได้ฟังคุณพ่อและคุณแม่อ่าน ประกอบกับจำรูปได้ จึงสามารถพูดได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้คนอื่นๆ ทึ่งกับความสามารถของดิฉัน

   พออายุ 4 ขวบ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลกาฬสินธุ์ และประถมที่โรงเรียนเดียวกัน พอจบป. 6 ได้เข้าศึกษาต่อ ม.1-ม.6 ที่โรงเรียนกาฬสินธุ์วิทยาสรรพ์..ดิฉันเรียนแต่โรงเรียนประจำจังหวัด

    ดิฉันทำกิจกรรมตั้งแ่ต่อนุบาลถึง ม.6 เรียนกว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงเลยทีเดียว..ทั้งฟ้อนรำ..ถือป้าย..ถือพาน..ดรัมเมเยอร์..ถึงอย่างนั้นผลการเรียนม.ปลายก็อยู่ในเกณฑ์ดี เฉลี่ย 3.73  ที่น่าภาคภูมิใจคือ ม.4 เทอม ๒ ได้เกรด 4.00 แม้ว่าเป็นเพียงครั้งเดียว แต่ก็ดีใจมากที่ตัวเองทำได้

   ดิฉันรู้สึกว่า ชีวิตในช่วงเรียนมัธยมศึกษาเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด เพราะดิฉันกับเพื่อนๆ ในห้องสนิทสนมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันทุกอย่าง และก็รักกันมากๆ เลย...

   และแล้วช่วงชีวิตหนึ่งซึ่งต้องลงสนามแข่งขันกับคนทั้งประเทศก็มาถึง..ดิฉันต้องอ่านหนังสือ, ต้องติว และเรียนพิเศษเพิ่มเติม..ทำให้ดิฉันสอบติดหลายแห่ง

  1. คณะวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น
  2. คณะเกษตรศาสตร์ ม.มหาสารคาม
  3. คณะเกษตรศาสตร์ ม.เกษตร วิทยาเขตสกลนคร
  4. คณะเทคนิคการแพทย์ ม.หัวเฉียว
  5. คณะเภสัชศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์

   ที่ดิฉันกล่าวมาทั้งหมดนี้ ดิฉันได้ไปสอบสัมภาษณ์ทุกคณะ ทุกมหาวิทยาลัย แล้วก็สอบผ่านทั้งหมด...

   แต่คุณพ่อให้ลองสอบ Admission ดู เพราะอยากรู้ว่าลูกจะทำได้หรือเปล่า?..ดิฉันก็งง นะคะว่า ถ้ายังงั้นจะไปสอบสัมภาษณ์ทำไมให้เสียค่าใช้จ่าย และเสียเวลา ถ้าเราจะไม่เอา..

   คุณแม่บอกว่า "เป็นการไปหาประสบการณ์" ลูกจะได้รู้ว่าเค้าสัมภาษณ์เราเป็นอย่างไรบ้าง..ลูกจะได้มีภูมิคุ้มกันตัวเอง!!

   พอถึงเวลายื่นคะแนนแอดมิสชั่น ดิฉันก็ได้เลือกทั้งหมด 4 คณะที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก และดิฉันก็ติดอันดับ 3 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยานั่นเอง

   พอคุณพ่อและคุณแม่ทราบข่าวก็รีบบอกคุณยาย....กลายเป็นว่าคุณยายเป็นคนที่ดีใจที่สุด--> ทั้งๆ ที่คนที่ดีใจน่าจะเป็นดิฉัน..."สอบติดแล้ว..มีที่เรียนแล้ว.."

   ที่คุณยายดีใจเพราะท่านอยากให้ดิฉันมาอยู่ที่พิษณุโลก เพราะบ้านที่นี่ซึ่งอยู่แถวโรงเรียนอนุบาลพิษณุโลก มีน้าอยู่คนเดียว

   พอถึงเวลารายงารตัว พ่อกับแม่ก็พามาที่มน. และส่งเข้าหอ NU Dorm...

   การอยู่หอพักก็ทำให้รู้สึกสนุกดี เพราะได้รู้จักเพื่อนๆ หลากหลายเอก หลากหลายคณะ และมาจากหลายๆ จังหวัด ทำให้เราได้รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ๆ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1 ถึง ปี 3 เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน..

   กับวันเวลาที่ผ่านไป ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การเรียนมัธยมกับการเรียนมหาวิทยาลัยนั้นมันแตกต่างกันอย่างมาก

   ในมหาวิทยาลัยนั้น อะไรที่ได้มาง่ายๆ นั้นมันไม่มี ทุกอย่างต้องแลกมากับการตั้งใจทำขึ้นมาให้ดี ทั้งในด้านกำลังกายและกำลังใจ...ทุกๆ อย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราเป็นคนกำหนดทั้งสิ้น..อย่าไปโทษใคร

    ชีวิตในมหาวิทยาลัย มันเหมือนกับสังคมที่เป็นมายา คนที่ดีก็ดีจริงๆ คนที่เสแสร้ง ก็จะสวมหน้ากากเข้าหากัน

    แต่ดิฉันคิดว่า การที่เราได้มาพบผู้คนที่มากมายเช่นนี้ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะมีข้อเสีย แต่ข้ัอดีของเขาก็มี ดิฉันจะมองและคบในด้านดีๆ ของเขา และมองข้ามด้านที่ไม่ดีของเขาไป เพราะดิฉัีนคิดเสมอว่าคนเราทุกคนจะให้คนอื่นทำตามใจเรา ทำทุกอย่างที่เราต้องการและคาดหวังเอาไว้ไม่ได้หรอก ทำให้ทุกวันนี้ดิฉันมีชีวิตที่มีความสุขขึ้น ด้วยคำที่สอนตัวเองว่า

  1. "มองโลกในแง่ดี..คิดบวก"
  2. อยากให้คนอื่นปฏิบัติกับเราอย่างไร...เราจะต้องปฏิบัติอย่างนั้นกับเขาก่อน
    (beeman เขียน comment ว่า อยากกินแกงส้มฝึมือคนอื่น เราต้องเอาแกงส้มฝีมือเราไปให้เขาได้กินก่อน)
หมายเลขบันทึก: 430708เขียนเมื่อ 11 มีนาคม 2011 14:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรื่องของเราเป็นเรื่องเวรไม่ใช่กรรมของอาชีพ สงสารตัวเองจังที่ทำงานมาจนอายุ 50 ปีเศษยังต้องเข้าเวร ทั้งๆที่ตนเองสุขภาพไม่ดี ต่อสู้กับมะเร็งร้ายมาแล้วก็มาเข้าเวรต่อ เหมือนทหารไงๆก็ไม่รู้ มีบางครั้งที่มีอาการวูบขณะทำงานบ่อยๆแต่ต้องสู้ๆเพื่ออะไรกันนี่ สู้เพื่อพ่อแม่ไง แต่ตอนนี้ท่านไปเที่ยวไกลไม่กลับแล้ว ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องอำลาจากสังเวียนเวรเสียที และเมื่อมีการประชุมในหน่วยงาน จึงแจ้งให้ที่ประชุมทราบร่วมกันว่า เราอยากออกเวรเพื่อขอดูแลสุขภาพ เพราะรู้สึกอ่อนเพลียมาก คำตอบในที่ประชุม เราแทบช็อก น้องอายุน้อยกว่า 1 รอบคิดเอาเองว่ากี่ปีบอกว่าพี่หนูก็อยากออกเหมือนกัน

ทั้งๆที่สุขภาพก็ดี ไม่มีความจำเป็นที่ต้องออก แต่เราแก่สุดสรุปว่า "อด" เพราะผู้ใหญ่เห็นเราแข็งแรงทำทุกอย่างที่พัฒนางาน จนเราเฉียดทำร้ายตนเอง แต่คิดได้ว่าคนในครอบครัวรักเราที่สุด หันมาอ่านหนังสือธรรมะชีวิตที่สมบูรณ์ ของพระพรหมคุณณาภรณ์ ต้องขอบคุณลูกสาวที่ไปงานแต่งเพื่อนแล้วได้รับแจกมาให้แม่อ่าน ลองหาอ่านดูนะ และได้อ่านสิ่งดีไจกหนังสือเล่มนี้ ขอแบ่งปันนะคะ   

  • ขออนุโมทนาสาธุ ที่นำเรื่องราวของตัวเองมาแบ่งปันกัน
  • อ่านหนังสือธรรมะ ช่วยให้เราคิดบวกครับ
  • ตอนเราเกิดมา มาตัวเปล่าและกำมือมา ตอนเราจากไปเรายังมีเสื้อผ้าติดตัว และเรานอนแบบมือ มันมีความหมายอย่างไร
  • ทุกวันนี้ที่เราอยู่ มีตั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นกำไรชีวิต อย่างลูกสาวของเราไง
  • เราทำดีทุกวัน เพื่อวันข้างหน้าเราจะได้ไปดี ไปสู่ที่ที่เราชอบ..

เป็นบันทึกที่ดีได้วิถีแห่งชีวิตอันงามนะครับ

ชอบภาพชีวิตแบบนี้

เรียน ท่านโสภณ

  •  ขอบคุณที่ให้กำลังใจ สำหรับบันทึกจากสมุด Journal ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท