จากการที่ได้คุยกับทีม ปรึกษากันเรื่องเนื้อหาที่น่าจะลงใน "เรื่องเล่าจาก ศวก.ที่ ๖ (ขอนแก่น) ก็ปรากฏว่า "ถ้ามีเรื่องความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรด้วยก็ดีนะ" เอาหล่ะซิค่ะ งานเขี้ยนชิ้นนี้ติ๋วเคยเผยแพร่แล้ว ตั้งแต่หัดทำวารสารชื่อ "สาส์นยาและสมุนไพร ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ขอนแก่น" เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ มหัศจรรย์ขององค์ความรู้ ณ วันนี้มันก็ยังมีประโยชน์ จึงของเอามาลงไว้ ณ พื้นที่นี้ค่ะกับ "การดื่มชาเขียวมีประโยชน์จริงหรือ"
ชาเขียวบรรจุเสร็จในท้องตลาดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณคาเฟอีนสูงและสารออกฤทธิ์ต่ำ ซึ่งสารชนิดนี้จะเปลี่ยนรูปเป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์หากถูกเก็บในสภาวะที่เป็นกลางหรือมีออกซิเจน ที่สำคัญระดับน้ำตาลสูงมาก ผู้ป่วยเบาหวานต้องระมัดระวังในการบริโภค
ชาเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ชามีถิ่นกำเนิดในจีน ต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในญี่ปุ่น อินเดียและศรีลังกา ในที่นี้กล่าวถึงชาที่เป็นพืชซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis O. Kuntze อยู่ในวงศ์ Theaceae
แต่ปัจจุบันเมื่อเอ่ยถึงชาต้องระบุด้วยว่าชาอะไร เพราะมีการเรียกพืชที่มีกระบวนการผลิตคล้ายชา หรือสมุนไพรแห้งที่เอามาชงหรือต้มดื่ม ว่า “ชา” แทบทั้งสิ้น แต่จะมีการเติมคำขยายเพื่อกำหนดลักษณะเช่น ชากระเจี๊ยบ เป็นต้น
ในฉบับนี้จะกล่าวถึงชาชนิดที่มาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis O. Kuntze เท่านั้น
ชาที่พบทั่วไปหลัก ๆ มีอยู่ ๒ พันธุ์คือชาจีน (Chinese Tea) ใช้ผลิตชา ๓ ชนิดคือ
ชาเขียว (Green Tea)
ชาอู่ล่ง (Oolong Tea)
และชาดำ (Black Tea)
สายพันธุ์ที่สองคือ ชาฝรั่ง (Ceylon Tea) ปลูกมากในอินเดีย เป็นชาที่หมักและอบแห้งแล้ว จะให้สีเหลืองอ่อนกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้
จำแนกชาในท้องตลาดตามกระบวนการผลิตหลัก ๆ แบ่งได้ ๓ ชนิดคือ
ชาเขียว (Green Tea) เป็นชาที่ได้จากการเด็ดยอดใบอ่อนของต้นชา นำมาคั่วในกระทะทองแดง ใช้ไฟอ่อน ๆ จนแห้ง แล้วนำมาบรรจุ
ชาดำ (Black Tea) เป็นการเอาใบชามากองสุมไว้ให้เกิดการหมักแล้วทำให้แห้ง ชาที่ได้จะมีสีน้ำตาลเข้มและมีกลิ่นหอมเฉพาะอันเกิดจากการหมักและ
ชาอู่ล่ง (Oolong Tea) เป็นชาที่ใช้กรรมวิธีควบกันระหว่างชาเขียวกับชาดำคือมีการหมักในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วทำให้แห้ง จะได้ชาที่กลิ่นนุ่มกว่าชาดำ แต่สี กลิ่นและรสเข้มกว่าชาเขียว
ดื่มชาแล้ว รู้สึกสดชื่น เพราะในใบชามีสารคาเฟอีน (Caffeine) ร้อยละ ๑-๔ เป็นสารชนิดเดียวกับที่พบในกาแฟ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง สารTheobromine ขับปัสสาวะ ช่วยขยายหลอดลม
สารสำคัญอีกกลุ่มหนึ่งที่พบในชาและมีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางชีวภาพอย่างแพร่หลายคือ
สารกลุ่มโพลีฟีนอลลิก (Polyphenolic Compounds) หลัก ๆ มีอยู่ ๔ ชนิดคือ
(-)-Epicatechin,
(-)-Epicatechin-3-gallate,
(-)-Epigallocatechin และ
(-)-Epigallocatechin-3-gallate
ซึ่ง (-)-Epigallocatechin-3-gallate
พบในปริมาณมากที่สุดและมีรายงานการวิจัยว่าสารชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันช่วยชะลอความแก่ ป้องกันการเกิดมะเร็ง ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด เพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ลดการดูดซึมของโคลเลสเตอรอล ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดระดับความดันโลหิตและยับยั้งการเจริญของเชื้อ Streptococcus mutans, Streptococcus sobrinus, Lactobacillus spp. และ Actinomyces spp. อันเป็นสาเหตุของฟันผุ
นอกจากนั้นในใบชายังพบ Gallotannic Acid เป็นสารกลุ่มแทนนิน (Tannins) มีรสฝาดใช้แก้อาการท้องเสียโดยละลายออกมาช้า ๆ ขณะชง
ในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็น ชาดำ ชาเขียว ส่วนชาฝรั่งนั้นยังพบในวงจำกัด ชาเขียว ความหอมและรสชาดจะเป็นรองจากชาทั้งสองชนิด แต่จากกระบวนการผลิตและผลการวิจัยพบว่า ชาเขียวมีปริมาณสารกลุ่มโพลีฟีนอลลิก คงอยู่ในปริมาณสูง
ซึ่งสารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่าง ๆ เพราะว่าชาเขียวไม่ผ่านกระบวนการหมักสารกลุ่มนี้จึงไม่เปลี่ยนรูป
ปัจจุบันชาที่นิยมบริโภคเป็นชาเขียว โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งอยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์บรรจุเสร็จพร้อมบริโภค มิใช่แบบดั้งเดิม อาจจะเป็นผลจากการโฆษณาหรือรูปแบบของการตลาดที่ดึงดูด
แต่มีข้อเท็จจริงที่ผู้บริโภคควรทราบว่า
จากผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับได้พิสูจน์ว่า
สารออกฤทธิ์ในชาเขียวจะมีปริมาณลดลงเมื่ออยู่ในน้ำซึ่งมีสภาวะเป็นกลางและถูกออกซิเจน
ดังนั้นเมื่อชาเขียวถูกผลิตมาเป็นเวลานานหรือถูกเปิดแล้ว ระดับสารสำคัญจะลดลง
เพราะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันสารสำคัญจะเปลี่ยนรูปกลายเป็นสารไม่มีฤทธิ์
ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าชาเขียวบรรจุเสร็จที่วางจำหน่ายในท้องตลาด
ประกอบด้วย
คาเฟอีนในปริมาณค่อนข้างสูง แต่ปริมาณ (-)-Epigallocatechin-3-gallate ซึ่งเป็นสารสำคัญอยู่ในระดับต่ำมาก
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้น
มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานในปริมาณสูงมาก ผู้ป่วยเบาหวานต้องระมัดระวังในการบริโภค
การบริโภคชาเขียวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรชงดื่มกับน้ำร้อน ตามแบบฉบับดั้งเดิม ดังนี้
เอาน้ำร้อนลวกทิ้ง ๑ น้ำ (เพราะในน้ำนี้มีคาเฟอีนละลายออกมาปริมาณสูง) จากนั้นชงดื่มตามปกติ แต่ไม่ควรทิ้งใบชาไว้ในน้ำนาน เพราะจะทำให้แทนนิน ออกมาปริมาณมาก
เว้นแต่กรณีที่ต้องการดื่มชาเพื่อแก้ท้องเสีย จึงควรชงชาที่ความร้อนสูงแล้วทิ้งใบชาไว้ในน้ำนาน ๆ แล้วดื่ม จะช่วยระงับอาการได้
หากจำเป็นต้องดื่มชาเขียวบรรจุเสร็จจริง ๆ ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่มีรสหวานเพราะจะทำให้อ้วน และเมื่อเปิดควรดื่มให้หมดภายใน ๑๐-๒๐ นาที และเลือกขวดที่มีระยะเวลาการผลิตไม่นาน ภาชนะไม่แตกหรือบุบ เพื่อให้สารสำคัญยังคงอยู่และร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด
แม้ว่าชาเขียวจะมีประโยชน์นานัปการดังกล่าวไว้ข้างต้น แต่การดื่มชาเขียวในปริมาณมากจะทำให้ท้องผูก จึงควรรับประทานผักและผลไม้ร่วมด้วย และการดื่มชาชงที่ร้อนเกินไปจะทำให้หลอดอาหารถูกทำลาย อาจจะก่อมะเร็งหลอดอาหารได้
สุดท้ายขอฝากถึงท่านที่รักสุขภาพทุก ๆ ท่านว่า
“สมุนไพรมีประโยชน์แต่ต้องนำมาใช้ให้ถูกต้น ถูกส่วนและถูกวิธี”
เรื่องของชายังมีชาสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มีคุณประโยชน์หรือสามารถเกิดโทษได้ หากนำมาใช้ไม่ถูกส่วน ไม่ถูกโรค หรือถูกวิธี เช่น ชาหญ้าหนวดแมว มีสรรพคุณคือขับปัสสาวะ ลดความดัน แต่หากใช้ผิดวิธี จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด อาจถึงขั้นหมดสติได้
หมายเหตุ; บทความนี้เคยเผยแพร่แล้วใน สาส์นยาและสมุนไพรศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ของแก่น ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๘
บรรณานุกรม
(1) สรจักร ศิริบริรักษ์. เภสัชโภชนา. 2547. พิมพ์ครั้งที่ 3. โรงพิมพ์กรุงเทพ, กรุงเทพฯ.
(2) แสงไทย เค้าภูไทย. เจาะงานวิจัยสมุนไพรหมื่นล้าน. 2545. อินฟอร์มีเดียบุ๊ค, กรุงเทพฯ.
(3) Khansuwan, U.; Tipduangta, P.; Srichairatankoo, S.; Chansakaow, S.; Chuamanochan, V.; Chumpan, C.; Vejabhikul, S. 1st International Conference NPH 2005, 83-84.
(4) Majchrzak, D.; Mitter, S.; Elmadfa, I. Food chemistry 2004, 88, 447-451.
(5) Su, Y.L.; Leung, L.K.; Huang, Y. and Chen, Z.Y. Food chemistry 2003, 83, 189-195.
(6) Suganuma, M.; Okabe, S.; Sueoka, N.; Sueoka, E.; Matsuyama, S.; Imai, K., Nakachi, K.; Fujiki, H. Mutation Research 1999, 428, 339–344.
(7) Wei, Q.Y.; Zhou, B.; Cai, Y.J.; Yang, L.; Liu, Z.L. Food chemistry 2006, 96, 90-95.
ดื่มทุกๆๆชา และ ไม่เย็น ชา กับเพื่อนฝูง ค่ะ
ฮ่า น่ารักมากเลยค่ะครูอ้อย
ขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะที่นำมาแบ่งปัน..ขอนำไปเผยแพร่ต่อในหมู่ "คอ(น้ำ)ชา"..