ครูไทยภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นครูของทุกคนภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545
กฎหมายดังกล่าวข้างต้น ครูทุกคนต้องศึกษา เรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ให้มีความสมบูรณ์ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะ สาระสำคัญในพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2546 แล้ว และต่อไปนี้ ตามมาตรา 4 แห่งกฎหมายนี้ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
การที่ให้บุคคลดังกล่าวมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มีหลักการและเหตุผลที่สำคัญคือ ต้องการยกระดับวิชาชีพครูให้สูงขึ้นทัดเทียมกับวิชาชีพแขนงอื่น ต้องการได้คนดี คนเก่งมาเป็นครู และต่อไปผู้ใดคิดจะมาเป็นครูแบบง่าย ๆ ไม่ได้อีกแล้ว หรืออยากจะให้ผู้ใดมาสอนหนังสือก็ได้ ซึ่งผิดกับวิชาชีพแพทย์ ที่ไม่สามารถให้ผู้อื่น ทำหน้าที่ผ่าตัด วินิจฉัยโรคแทนกันได้ สิ่งเหล่านี้ต่อไปวิชาชีพครูต้องมีการควบคุมมาตรฐานวิชาชีพเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น นับเป็นแนวทางปฏิบัติให้ครูไทยต้องประกอบอาชีพ หรือสอนหนังสือให้ความรู้แก่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล นั่นคือให้เป็นไปตามเป้าหมาย (Goal) และจุดประสงค์ (Objective) ของการจัดการศึกษาทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอาชีวศึกษา การอุดมศึกษา ตามแนวทาง การปฏิรูปการศึกษาและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ให้เป็นที่พึงพอใจของผู้ปกครองและสังคม ที่ส่งบุตรธิดาเข้าศึกษาในระบบการศึกษาของชาติ
ในมาตรา 43 กำหนดให้ วิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น เป็นวิชาชีพควบคุม ซึ่งหาก ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 44 คือ (1) เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (2) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ และ(3) เคยต้องโทษจำคุกในคดีที่คุรุสภาเห็นว่าอาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ซึ่งเป็นข้อบ่งบอกถึงไม่ต้องการคนที่ประพฤติชั่วให้เข้ามาประกอบวิชาชีพครู และมาตรา 45 ให้มีคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพพิจารณาวินิจฉัย ไม่ออกใบอนุญาต ไม่ต่ออายุใบอนุญาต หรือไม่ออกใบแทนใบอนุญาตให้ ซึ่งใบอนุญาตนับมีความสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของคุรุสภา และมาตรา 54 คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง กรณีที่ครู หรือผู้บริหาร ได้รับการกล่าวโทษให้เสียหาย คือ (1) ยกข้อกล่าวหา (2) ตักเตือน (3) ภาคทัณฑ์ (4) พักใช้ใบอนุญาต และ (5) เพิกถอนใบอนุญาต แต่ในวาระเริ่มแรกตามมาตรา 85 กำหนดให้คุรุสภาออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาอื่นได้ ในระยะเวลาต่อไปต้องมีการขอต่อใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพตามที่คุรุสภากำหนด
ดังนั้น ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาอื่นจะทำงานแบบสบาย ๆ ไม่ได้อีกแล้ว ต้องมีการปฏิรูปตนเอง ปฏิรูปการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะต่อไปผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ต้องประพฤติปฏิบัติตนตาม มาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพตามที่คุรุสภากำหนด เพราะใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะเป็นตัวควบคุม ส่งผลทำให้ยกระดับวิชาชีพครูและคุณภาพการศึกษาของชาติให้สูงยิ่งขึ้น
ผมมีโอกาสได้ไปร่วมฟังบรรยายที่ ม.ศิลปากร เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 54 ทราบมาว่าต่อไปการขอต่อใบประกอบวิชาชีพจะไม่ง่ายเหมือนปัจจุบันแล้วครับ ครูต้องพัฒนาตัวเองตลอด ขอบคุณท่านรองฯ นะครับ ที่นำสาระดี ๆ มาแบ่งปันให้ทราบนะครับ