เมื่อวันที่ ๑๕ ธ.ค. ๕๓ กลุ่มผู้เข้าอบรมนักบริหาร มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน ๑๑ คน มาคุย เรื่อง “การจัดการความรู้” เพื่อเอาไปทำเป็นสารนิพนธ์ โดยเขาส่งคำถามมา ๖ ข้อ ดังนี้
๑. สิ่งที่อาจารย์คาดหวังและตั้งเป้าหมายเรื่องการจัดการความรู้ ไว้อย่างไรบ้าง
๒. แนวทางที่จะไปสู่เป้าหมาย
๓. จะกระตุ้นให้บุคลากรในมหาวิทยาลัยเห็นความสำคัญและจัดทำ KM ได้อย่างไรบ้าง
๔. KM ของเราควรจะอยู่แค่ภายในมหาวิทยาลัย หรือเผยแพร่ออกสู่ภายนอกด้วย
๕. ควรจะทำอย่างไร เมื่อความรู้บางเรื่องสามารถนำไปจดลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร
๖. Success Factors
เห็นได้ชัดเจนนะครับ ว่าท่านผู้ตั้งคำถามไม่รู้จัก KM หรืออาจกล่าวได้ว่าเข้าใจความหมายของ KM ผิด เขามอง KM เป็นเป้าหมาย (end) ไม่ได้มองเป็นเครื่องมือ (means)
แนวคิดเช่นนี้เป็นความเคยชินเดิมๆ
ทำให้ผมได้คิด ว่าหัวใจของการใช้ KM อย่างชาญฉลาดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนจาก “ทำ KM” เป็น “ใช้ KM”
เปลี่ยนจากบูชาความรู้เชิงทฤษฎี (explicit knowledge) ไปบูชาหรือให้คุณค่าความรู้เชิงปฏิบัติ (tacit knowledge) หรือจะยิ่งดี ต้องรู้จักใช้ความรู้ทั้ง ๒ ชนิดนี้ให้เสริมส่งซึ่งกันและกัน เพื่อบรรลุผลงานที่ไม่ธรรมดา บรรลุการเรียนรู้แบบไม่จบสิ้นจากการทำงาน และบรรลุการเป็นองค์กรเรียนรู้ ผ่านกระบวนการ ลปรร. หรือการแบ่งปันความรู้
เปลี่ยนจากหวงความรู้ เป็นแบ่งปันความรู้
เพราะยิ่งหวงยิ่งหด ยิ่งให้ยิ่งได้
วิจารณ์ พานิช
๑๘ ม.ค. ๕๔
ผมเห็นหลายที่แล้วที่ผู้บริหารมักชอบถามถึง Success Factors ของ KM ผมเข้าใจว่า KM น่าจะเป็นเครื่องมือในการทำเรื่องใดก็ตามให้ถึงเป้าหมาย เหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ อาจต่างกันตรง KM มุ่งไปที่คน พัฒนาคน สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายของเรื่องที่ตั้งไว้อย่างมีความสุข แบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ผมเห็นด้วยครับ
วิจารณ์